วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

พระสมเด็จวังหน้าแท้-ชุดฝังมุก

พระแก้วมรกต ทรงเครื่องฤดูร้อน
     พระสมเด็จวังหลวง วังหน้าวังหลังโดยรวมข้าพเจ้าจะเรียกวังหน้า เพราะมีบทบาทมาก เริ่มจากเสด็จวังหน้าครั้งยังดำรงพระราชอิสริยยศเป็นพระองค์เจ้ายอดยิ่งยศฯ ได้เริ่มสร้างพระพิมพ์โลกอุดรประมาณปี พ.ศ.2400 บรรจุในเจดีย์วังหน้าเป็นชุดแรก โดยหลวงปู่ใหญ่หรือหลวงปู่เทพโลกอุดรพระอาจารย์ ได้นำมวลสารศักดิ์สิทธิ์จากสถานที่ต่างๆมาให้เสด็จวังหน้าสร้างพระชุดนี้ หลวงปู่ใหญ่ได้อธิษฐานจิตตั้งแต่เที่ยงคืนถึงเที่ยงวัน ในช่วงกลางคืนบริเวณในพิธีมีความสว่างไสวอย่างกับกลางวัน พระวังหน้าได้สร้างมาเรื่อยๆ กระทั่งปี 2411 พระองค์ท่านได้รับสถาปนาเป็นพระอุปราชวังหน้า กรมหมื่นบวรวิไชยชาญ เสด็จวังหน้าได้รวบรวมช่างฝีมือเอกไว้ทุกแขนง เคยเขียนบอกไว้ในรื่องพระสมเด็จเนื้อปูนเพชรสีแดงสบู่เลือด แล้วพระทั้งหมดที่สร้างมีกี่พิมพ์กี่องค์ไม่มีใครรู้ ไปเก็บไว้ที่ไหนบ้างมีทั้งรู้และไม่รู้ และพระสมเด็จที่หลวงปู่โตสร้างไว้อีกจำนวนมาก สร้างเพื่ออะไรมากมาย เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนาอย่างเดียวหรือไม่ ไม่ใช่แน่นอนทั้งองค์หลวงปู่ใหญ่ หลวงปู่โตทราบดีว่าภัยพิบัติครั้งยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทยแน่นอนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แม้ประเทศอื่นก็มี ชาวจีนที่เขาถือศีลกินเจและนั่งสมาธิเขาก็มีเห็นและบอกต่อๆกันมาในแวดวงของเขา ชาวจีนจำนวนหนึ่งในอดีตชาติก็เคยเกิดป็นลูกหลานหลวงปู่โตก็มี คนเราเกิดมานับชาติไม่ถ้วนย่อมมีญาติอยู่มากมายนับไม่ถ้วน (พราหมณ์ 2 ผัวเมียก็บอกว่าเคยเป็นบิดาของพระพุทธเจ้าในอดีตชาติก็มี พระพุทธองค์ก็ยอมรับและให้บวช ที่สุดสำเร็จอรหันต์ทั้ง 2 คน,พระเทวทัตก็เคยเกิดเป็นบิดาของพระพุทธเจ้ามาหลายชาติเช่นกัน ถ้าในสมัยนั้นก็คงต้องเรียกว่าพระโพธิสัตว์) เรื่องนี้เป็นสาเหตุให้ชาวจีนทั้งฮ่องกงไต้หวัน สิงคโปร์ฯ มาเช่าบูชาพระสมเด็จและพระกรุไปบูชาเพื่อป้องกันตัว บางคนก็เช่าหาตามผู้อื่นตามกระแสก็มีมาก ภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นครั้งนี้ยิ่งใหญ่มากและก็อั้นมานานแล้วจากแรงอธิษฐานของผู้ปฏิบัติธรรมหลายหมู่คณะ กรรมที่ยังไงก็หลีกเลี่ยงไม่ได้
        เมื่อพระวังหน้า พระสมเด็จ ฯ แตกกรุมาในเวลาไร่เรี่ยกันนั้นเป็นสัญญาณบอกเหตุว่า ภัยพิบัติครั้งยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้น อย่าได้ประมาทเตรียมตัวรับสถานะการณ์อันเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ ประมาณ 1 ปีหลังจากกรุแตก ส่วนตัวข้าพเจ้าเองได้เตรียมเสบียงไว้ใช้หลายล้านปี ไม่วิตกกังวลอะไร(เวลานั้นคงไปเสวยสุขอยู่บนเทวโลกแล้ว)


พระแก้วมรกตประดับมุก ทรงเครื่องฤดูร้อน
            ข้อสงสัยของหลายๆท่าน จนจะกลายเป็นกรณีพิพาทของ 2 ฝ่ายคือฝ่ายที่เชื่อว่าพระสมเด็จวังหน้ามีจริงกับเชื่อว่าไม่มีจริง ใครมีข้อสนับสนุนดีกว่าก็จะไปเชื่อฝ่ายนั้น
         พระสมเด็จพิมพ์พระแก้วมรกต 3 ฤดู มีทั้งประดับมุกและปิดทองร่องชาด หลัง ครุฑพ่าห์ พระสมเด็จชุดนี้เป็นของผู้ใหญ่อายุ 80 ปีในเวลานั้น ท่านสะสมต่อจากบิดาของท่าน บิดาท่านทำงานอยู่ที่วัดระฆัง ตัวท่านเองสะสมพระไว้มากมายหลายชนิด ท่านตั้งใจเก็บไว้ให้ลูกหลานสืบทอดต่อไปแต่ลูกชายท่านเปลี่ยนไป(ฉันไม่ใช่ผู้ชายนะยะ) คุณลุงท่านนี้ก็เลิกเก็บเลิกสะสมพระก็มีหลายคนไปขอบูชาต่อ พระบางชุดท่านก็นำไปทำบุญกับวัด ข้าพเจ้าเองได้มาก็ใกล้จะหมดแล้ว บางคนที่ได้พระจากท่านไป เอาไปลงหนังสือพระหลายองค์ พระชุดนี้ที่ข้าพเจ้าได้มาไม่ใช่พระแตกกรุอย่างที่หลายคนเข้าใจ ส่วนที่ถกเถียงกันว่าแตกกรุหรือไม่แตกนั้นไม่ใช่ประเด็นสำคัญเลย ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่าเป็นพระสมเด็จที่เสด็จวังหน้าสร้างขึ้นมาจริงปรือไม่ ถ้าสร้างจริงทันหลวงปู่โตหรือไม่
          เรื่องปีพ.ศ ก็แถไปว่าในยุคนั้นยังไม่มีการใช้ พยายามหาข้อมูลผิดๆมาป้อนให้คนที่ไม่ศึกษา ว่าปี พ.ศ.จะเริ่มมีการใช้กันในรัชกาลที่ 5 ไม่ทันหลวงปู่โต แต่ศาสนาจักรไม่จำเป็นต้องไปยึดกับอาณาจักรทั้งหมด และถ้าบอกว่าภาษาบาลีไม่มีตัวเลขใช้ แต่ตัวเลขไทยก็มีการใช้มานานแล้ว การที่จะให้ผู้อื่นรู้เวลาในการสร้างก็จำเป็นต้องใช้ตัวเลขและองค์หลวงปู่โตก็คงมองเห็นอนาคตแล้วว่าประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนา ฉนั้นถ้าจะยึดหลักพระพุทธศาสนาแล้วก็สมควรใช้ปีพ.ศ. เมื่อก่อนใช้จุลศักราชต่อมารัชกาลที่ 5 ให้เลิกใช้ จศ. หันมาใช้รัตนโกสินทรศก เมื่อ 28 มีนาคม 2430 แต่ในทางพระพุทธศาสนาให้ใช้พุทธศักราชหรือ พ.ศ.ตามแบบธรรมเนียมนิยมที่ใช้มาแต่กรุงศรีอยุธยา ตรงนี้คงจะหมดปัญหาเรื่องปีพ.ศ.แล้วนะ เขาใช้กันมาแต่สมัยอยุธยานั้นแล้วและเป็นธรรมเนียมนิยมด้วย ไม่อย่างนั้นจะรู้ได้ไงว่า กรุงศรีอยุธยา กรุงสุโขทัย มีอายุยาวนานกี่ปี สมัยก่อนวัดก็เป็นแหล่งเรียนรู้ เป็นโรงเรียน เขานับวันเดือนปีอย่างไรดูตามลิงก์นี้ก็ได้

http://haab.catholic.or.th/PhotoGallery/photos/frist13/frist13.html  (copy link แล้วไปวางในช่อง url เพื่อเปิดหน้าใหม่)

       มีหลักฐานเพิ่มเติม  ในสมัยกรุงธนบุรี พระเจ้าตากสิน ได้มีการรวบรวมศิลปกรรมไม่ให้สูญหายจากการถูกพม่าเผากรุงฯ ทั้งงานช่าง งานเขียนได้ทรงแต่งวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ไว้หลายตอน  ได้ให้ทรงสร้าง ตู้ลายรดน้ำที่มีศักราชแจ้งชัดว่าสร้างในสมัยกรุงธนบุรี อยู่ในหอสมุด วชิรญาณ ภายในหอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี กรุงเทพฯ ถ้าพวกฝ่ายค้านหรือต่อต้านว่าพระวังหน้าไม่มีจริงด้วยเหตุ พ.ศ.หรือศักราชนี้ ก็ไปดูหลักฐานชิ้นนี้ได้ที่หอสมุดแห่งชาติได้เลย เผื่อจะหายสงสัยลงบ้าง
      
       ในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้เคยไล่สมด็จโตในขณะนั้นยังเป็นพระเทพกวี ให้ออกจากราชอาณาจักรของพระองค์ด้วยความผิดเรื่องเทศน์ผิดเรื่อง ทำให้รัชกาลที่ 4 ไม่พอพระราชหฤทัย ไล่ลงจากธรรมาสน์ ไปให้พ้นราชอาณาจักรของพระองค์ สมเด็จโตก็ไปอาศัยอยู่ในโบสถ์ของวัดระฆัง เมื่อคราวถวายกฐิน เสด็จมาพบและรับสั่งว่า ไล่ให้ออกจากอาณาจักรแล้วทำไมยังขืนอยู่ สมเด็จโตตอบว่าอาตมาอยู่ในเขตพุทธจักร ไม่ใช่อาณาจักรของพระองค์ฯ หาอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ครับ ข้อนี้ก็ยังคงช่วยยืนยันเกี่ยวกับการใช้ พ.ศ.ในการสร้างพระ

        เพิ่มเติมอีกนิดถ้าการสร้างพระชุดนี้เพื่อเฉลิมฉลองการครองราชย์ของรัชกาลที่ 5 ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งมีเวลาเหลือเพียงเดือนเดียวนั้นก็คงคิดว่าสร้างไม่ทันภายในหนึ่งเดือน ถ้าเป็นการฉลองทั้งปีก็ยังมีเวลาเหลืออีก 3 เดือนครึ่งโดยประมาณคือเดือน มกราคมถึงเดือนเมษายนกลางปี พ.ศ. 2412 โดยนับวันมหาสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่ไทย ตามทางจันทรคติ(มกราคม-กลางเดือนเมษายน 2412 ยังคงเป็นปีมะโรง อยู่ในปีเก่ายังไม่ขึ้นปีใหม่) รวมกับเดือนธันวาคม 2411 จะมีเวลาทั้งหมด 4 เดือนครึ่ง แต่ความจริงพระที่เสด็จวังหน้าสร้างก่อนหน้านั้นมารวมเข้าและเพิ่มไปอีกก็ได้เช่นกัน อย่างพระสมเด็จบางขุนพรหมสร้างไม่พอก็นำพระสมเด็จวัดระฆังเสริมให้ครบจำนวนที่ต้องการโดยการลงรักปิดทองไว้เพื่อให้รู้ว่าเป็นพระสมเด็จวัดระฆังที่เรียกว่าพระสองคลอง
        ครุฑพ่าห์ ใช้เป็นสัญลักษณ์สำคัญเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่สมัยอยุธยา ด้วยว่าไทยได้รับลัทธิเทวราชของอินเดียถือว่าพระมหากษัตริย์อวตารมาจากพระนารายณ์ ครุฑเป็นพาหนะของพระนารายณ์ จึงเป็นสัญลักษณ์แทนพระมหากษัตริย์ จึงปรากฏเป็นดวงตราหรือราชลัญจกรประจำพระองค์ รูปครุฑที่เป็นธงใช้แทนองค์พระมหากษัตริย์นั้นเรียกว่า ธงมหาราช รูปครุฑสีแดงบนพื้นสีเหลืองเริ่มใช้ในสมัยรัชกาลที่ 4 ฉนั้นการที่จะนำรูปครุฑมาปั้มที่หลังองค์พระก็ไม่น่าจะแปลกอะไร คือใช้เป็นสัญลักษณ์ว่าเป็นของหลวงและมีความหมายว่ามีฤทธิ์อำนาจ ตบะเดชะ

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ http://goo.gl/W8b68N



      พระปรมาภิไธย หมายถึง พระนามของพระมหากษัตริย์ ตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏ หลังจากที่ได้มี พระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว เกิดขึ้นครั้งแรกในสมัย รัชกาลที่ 4 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งแรก เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2411 โดยได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯพระจุฬาลงกรณ์เกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีพระนามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า " พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์..........................ปรมินทรธรรมิกหาราชาธิราช บรมนาถบพิตร พระจุฬาลงกรณ์เกล้าเจ้าอยู่หัว" ตรงนี้ใช้อักษรย่อว่า จปร ได้หรือไม่   
       ผนวชและบรมราชาภิเษกครั้งที่ 2 เมื่อ 16 พฤศจิกายน พ.ศ.2416  โดยได้รับเฉลิมพระปรมาภิไธยในครั้งนี้ว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์................ปรมินทรธรรมิกหาราชาธิราช บรมนาถบพิตร พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" ตรงนี้ก็ใช้ จปร ได้เช่นกัน
      พระปรมาภิไธยย่อ จปร ยังหมายถึงรัชกาลที่ 1และรัชกาลที่ 3 อีกด้วย  หลวงปู่โตฯพระองค์ท่านก็มองเห็นอนาคตอยู่แล้ว การที่จะใช้ จปร อยู่หลังองค์พระหรือถวายรัชกาลที่ 5 เป็นไปได้ไม่ใช่หรือ ส่วนพระสมเด็จประดับพลอยบุทองหลังรัชกาลที่ 5 สร้างไว้ 2 วาระคือ พ.ศ.2411 และ พ.ศ. 2451 มีบอกไว้แล้วใน พระสมเด็จวัดระฆังแท้หรือปลอม

        อ่านเพิ่มเติมพระปรมาภิไธย
http://goo.gl/kH8Hno

http://goo.gl/BrV1Ax


     คนที่ค้านหัวชนฝาว่าพระสมเด็จวังหน้าไม่มีจริงนั้น ลองเข้าหาพระที่ท่านมีสมาธิสูงและนำพระสมเด็จวังหน้าอย่างที่ข้าพเจ้ามีไปให้ท่านช่วยพิจารณาให้ดูซิท่านจะว่ายังไงบ้าง พระที่มีพุทธคุณสูงอย่างที่หลายคนเคยสัมผัสมาแล้วจะมีพระเกจิที่ไหนในปัจจุบันที่สร้างได้ ของแท้มีของเทียมเต็มตลาด จะได้ไม่ต้องมีวาทะกรรมต่อกัน ไม่เป็นบาปที่ไปปรามาสท่านว่าของปลอม บ้างคนขนาดว่าพระยี่เกก็มี 
    หลวงปู่โตฯท่านได้มวลสารศักดิ์สิทธิ์อื่นๆอีกมากที่เราไม่รู้จัก ได้จากเทวดาที่แปลงมาเป็นชีปะขาว ได้จากชาวลับแล จากพญานาค ฯลฯ ต้องพิจารณาว่าหลวงปู่โตเป็นพระระดับไหน ถ้าพิจารณาได้ก็จะตัดความสงสัยลงไปได้เยอะ อีกเรื่องหนึ่งแม้แต่เซียนดังหรืออาจารย์สอนดูพระสมเด็จว่า นอกจากมวลสารหลักแล้ว ยังมีมวลสารรอง คือเส้นผมและอื่นๆ บางคนส่องพระสมเด็จเห็นเส้นผมดีใจใหญ่ เส้นผมของคนที่มาช่วยพิมพ์พระไง ถ้าเป็นเส้นเกษาของหลวงปู่โตจริง ป่านนี้กลายเป็นพระธาตุไปนานแล้ว จริงหรือไม่

พระแก้วมรกตประดับมุก ทรงเครื่องฤดูฝน





พระแก้วมรกตประดับมุก ทรงเครื่องฤดูหนาว





พระสมเด็จวังหน้าเนื้อหยกประดับมุก
          พระเนื้อหยกแท้มีน้ำหนักมากกว่าพระเนื้อผง มีน้ำหนักมากกว่าพระสมเด็จวังหน้า 2 องค์ล่างที่เป็นเนื้อผง



   
พระสมเด็จวังหน้าเนื้อผง


พระสมเด็จพิมพ์ไกเซอร์หลังคาถาชินบัญชร แม่เหล็กดูดติด เนื้อเรซิ่น
พระสมเด็จพิมพ์ใหญ่หลังมุกแม่เหล็กดูดติด เนื้อเรซิ่นมีหลายสี

พระสมเด็จทรงครุฑ แม่เหล็กดูดติด เนื้อเรซิ่น

พระซุ้มกอหลังมุก แม่เหล็กดูดติด เนื้อเรซิ่น


เมื่อผ่าพระเนื้อเรซิ่นจะเห็นแม่เหล็กขนาดใหญ่
          พระเรซิ่น เมื่อนำพระเรซิ่นที่ฝังแม่เหล็กมาประกบกันจะมีทั้งดูดกันและผลักกันตามขั้วของแม่เหล็ก ซึ่งคนส่วนใหญ่ที่มีพระชุดนี้จะเข้าใจว่าเป็นพระที่ฝังเหล็กไหล เก็บไว้มากมาย โดยความจริงแล้วมีพระสมเด็จจำนวนมากที่ฝังเหล็กไหล แต่เหล็กไหลที่ฝังจะเล็กมากแม่เหล็กสามารถดูดติดได้แต่กำลังก็อ่อนมาก เมื่อนำพระไปใกล้แม่เหล็กโดยตรงจะไม่มีความรู้สึกเลยว่ามีกำลังดูดกัน ต้องอาศัยเทคนิคนิดหน่อยจึงจะรู้ได้

   
       พระสมเด็จวังหน้าเนื้อหินสีเขียว ด้านหลังเรียบ หินสีมีทั้งสีเขียว เหลือง แดง ส้มฯ ไม่ใช่หยกและไม่ใช่มรกต ยังไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดีเนื้อหยกจะสีขุ่นตามตัวอย่างข้างบน พระสมเด็จวังหน้าเนื้อหยกประดับมุก เนื้อหยกและเนื้อหินสีจะมีน้ำหนักมากกว่าพระเนื้อเรซิ่น พระเนื้อเรซิ่นองค์ขวามือฝังแม่เหล็กเอาไว้ ไม่สามารถดูผ่านแสงสว่างได้เพราะจะมองเห็นแม่เหล็กกลมใหญ่ฝังอยู่ เนื้อเรซิ่นถูกไฟก็จะละลาย
     พระที่มีการดูดติดกันเป็นพระเนื้อเรซิ่นฝังแม่เหล็ก

    พระสมเด็จเนื้อสีเขียวทึบอย่างองค์ล่างขวามือทำมาหลายพิมพ์ พิมพ์ใหญ่ พิมพ์ไกเซอร์ รูปเหมือนหลวงปู่โต หลังมีพระคาถาชินบัญชรส่วนใหญ่เนื้อเรซิ่นทั้งนั้น ถ้าพระดูดติดกันได้อีกจบเลยครับพระโรงงานเนื้อเรซิ่นลองเอาไฟแช็คลนดูก็ได้ เนื้อเรซิ่นจะไหม้และมีกลิ่นพลาสติก ถ้าเป็นเนื้อหินสีจะไม่เป็นไร ถ้าเนื้อหยกจริงๆหายากมาก  ดูองค์บนที่เขียนว่าเนื้อหยกต้องเป็นสีลักษณะนั้นเขียวขุ่นมีสีขาวผสม จะไม่เขียวทั้งองค์ ถ้าเขียวทั้งองค์อย่างองค์ล่างซ้ายเป็นหินสีชนิดหนึ่งมีพลังในตัว  ดูบทความต่อไปครับ

ถ่ายรูปเมื่อแสงผ่านด้านหลังองค์พระ



1 ความคิดเห็น:

  1. ในยุคนั้น ไม่มีเรซิ่น และที่หลายท่านเก็บพระเนื้อเรซิ่นฝังแม่เหล็กก็เป็นการเก็บพระเก๊ใช่ไหมครับ

    ตอบลบ