วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

หลวงปู่เทพโลกอุดร


# พระหลวงปู่เทพโลกอุดร 02
          หลวงปู่เทพโลกอุดร มวลสารพิเศษทรายแก้วจากป่าหิมพานต์ มวลสารศักดิ์สิทธิ์เด่นด้านเมตตาและโชคลาภ สร้างปี พ.ศ. 2400 พระองค์นี้ผ่านการล้างดินกรุที่ติดองค์พระแล้วเห็นทรายแก้วกระจายเต็มบนผิวพระ พิมพ์นี้ไม่ค่อยได้เห็นกันมากนัก บางคนไปเชื่อคนเขียนคนแรกที่ว่าพระของหลวงปู่เทพโลกอุดรมีเท่านั้นเท่านี้พิมพ์ พิมพ์ที่ไม่เคยเห็นจะคิดว่าไม่มีหรือเป็นของสร้างขึ้นมาใหม่ไม่ทันท่านก็มี  ที่มากไปกว่านั้นบางคนพูดว่าหลวงปู่เทพโลกอุดรไม่มีตัวตน เป็นการอุปโลกของสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งที่ต้องการขายหนังสือของตัวเอง แล้วก็ไม่รู้ว่ามีใครไปสร้างพระชุดนี้ขึ้นมา เขาว่าครูบาอาจารย์ของเขาหรือพระรุ่นก่อนก็ไม่มีใครพูดถึง แม้แต่พระสายกรรมฐานของปู่มั่นก็ไม่เคยพูดถึง จะเชื่อทางไหนดี เรื่องที่บางคนคิดว่าไม่มีอาจจะมีก็ได้ แต่ตัวท่านเองไม่สามารถสัมผัสหรือเจอะเจอได้และจะมาคิดว่าไม่มีเลยก็ไม่ได้ ตัวอย่าง
      เมืองลับแลหรือชาวบังบดที่มีการกล่าวถึงว่าเป็นเมืองๆหนึ่งอยู่บนโลกเรานี้ แต่คนละมิติหรือมิติเดียวกันที่ต้องผ่านประตูมิติของเขาถึงจะเข้าไปได้ เรื่องนี้มีพระธุดงค์หลายท่านเคยกล่าวถึง  เฉพาะเรื่องนี้มาพิจารณาว่ามีจริงหรือไม่ ถ้ามีจริงทำไมเราไปไม่ได้ ที่ไปไม่ได้เพราะเหตุอะไร เรื่องของพญานาคมีพระธุดงค์หลายท่านเคยสัมผัสมาแล้ว ในพระไตรปิฎกมีการกล่างถึงไว้หลายบทหลายตอน ทำไมพวกท่านหรือเราไม่สามารถเห็นได้ การที่เราไม่เห็นจะบอกว่าไม่มีได้หรือไม่
        พระเครื่องที่ข้าพเจ้านำมาเสนอนั้น ไม่ได้สนใจพิมพ์ทรงอย่างของคนอื่นเขามากนัก ที่จะมาชี้จุดตายของแม่พิมพ์อย่างที่เขาทำกัน คือพระแท้มีพุทธคุณ พระที่มีพุทธคุณสูงในยุคสมัยนี้จะมีเกจิท่านใดบ้างที่ทำได้ และหากว่าเป็นพระสร้างขึ้นมาใหม่ จะนำพระเหล่านั้นไปให้อาจารย์หรือเกจิท่านใดปลุกเสกและมีพุทธคุณสูง ถ้าจะบอกว่าไม่เชื่อเรื่องการสัมผัสพุทธคุณ ก็ท่านไม่สามารถสัมผัสได้ก็จะไม่เชื่อว่าคนอื่นทำได้ ต้องถามก่อนว่าท่านเชื่อหรือไม่ว่า นรกมี สวรรค์มี นิพพานมี ถ้าไม่เชื่อก็ไม่ต้องเสียเวลาอย่างคนอื่นเขา ไปคิดไปทำอะไรที่มีประโยชน์อย่างอื่นดีกว่าก็ได้  แต่ถ้าท่านเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มีจริง แล้วท่านเชื่อตรงไหน อะไรที่ทำให้ท่านเชื่อ
         บันทึก บอกเล่า ว่าเสด็จวังหน้าเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ใหญ่ และเสด็จวังหน้าได้สร้างพระพิมพ์หลวงปู่ใหญ่ไว้หลายพิมพ์ส่วนใหญ่เป็นพิมพ์ปิดตา แต่พิมพ์อื่นก็มีไม่มีใครรู้แน่นอน ใช่ว่าตัวเองมีพระเท่านี้พิมพ์แล้วจะอ้างว่าพิมพ์อื่นไม่ใช่ของหลวงปู่ใหญ่ จิตใจก็คับแคบไปหน่อยมีผลประโยชน์ส่วนตัว เหมือนเซียนดังที่กล่าวว่าพระสมเด็จมี 200 องค์ ในจำนวน 200 องค์ก็ไปอยู่กับคนอันจะมีกินทั้งหลายหมดแล้ว จู่ๆวันหนึ่ง เซียนใหญ่ก็นำพระสมเด็จวัดระฆังองค์ใหม่มานำเสนอบอกว่าพึ่งได้มาใหม่ แล้วที่พึ่งได้มาใหม่นั้นมาอย่างไหร่ พึ่งจะปั้มเสร็จหรือยังไง ของตัวเองแท้แต่ของคนอื่นไม่แท้ 
        






ด้านหลังพระหลวงปู่เทพโลกอุดร เนื้อในสีเขียวอ่อน ทรายแก้วกระจายเต็มองค์พระ

# พระหลวงปู่เทพโลกอุดร 01.เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3.3 ซม.



ความหนา 0.7 ซม.

# หลวงปู่เทพโลกอุดร 03
# หลวงปู่เทพโลกอุดร 04

# หลวงปู่เทพโลกอุดร 05

# หลวงปู่เทพโลกอุดร 06
    สนใจแบ่งให้บูชาได้ครับ

23 ความคิดเห็น:

  1. ราคาให้บุชาเท่าไหร่ครับ สนใจครับ

    ตอบลบ
  2. อยากทราบราคาให้บูชาครับ สนใจอยากบูชาครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ความคิดเห็นนี้ถูกลบโดยผู้ดูแลระบบของบล็อก

      ลบ
  3. copyมาและบันทึกไว้เพื่อไม่ให้สูญหาย และไว้เพื่อการศึกษาครับ
    https://www.facebook.com/grasib/posts/1281268585240680
    อ้างอิง ขอบคุณพี่อู๋มากๆครับ

    พระอรหันต์จกบาตร (ปางภัตตกิจ)
    วันนี้วันดี ผม (อู๋) ขอเล่าเรื่องพระอรหันต์จกบาตรนี้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ทราบไว้
    พระรุ่นนี้เป็นพระกรุวังหน้าเนื้อชินตะกั่วมีอายุประมาณ 200 กว่าปี นับเป็นพระ
    วังหน้าพิมพ์ที่หายากมากพิมพ์หนึ่ง และเชื่อกันว่าเป็นพระพิมพ์พิเศษที่สร้างขึ้น
    เพื่อถวายแก่เจ้านายฝ่ายใน หรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจาก
    ลักษณะพิมพ์มีความสวยงามและประณีตยิ่งนักเป็นฝีมือการออกแบบและสร้างโดยช่างสิบหมู่ของสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหา
    สุรสิงหนาถ (บุญมา) ที่ทรงมีฝีมือทางการรบเป็นเยี่ยม ทั้งยังมีวิชาอาคมระดับเสกใบมะขามให้เป็นต่อเป็นแตน แล้วสั่งให้ไปต่อย
    ทหารพม่าจนต้องหนีกระเจิดกระเจิงมาแล้ว เชื่อกันว่าเสด็จวังหน้าพระองค์นี้ก็คือศิษย์เอกฝ่ายฆราวาส และเป็นผู้ตั้งพระนาม
    ให้แก่พระอาจารย์ผู้เป็นอมตะของท่านว่า “หลวงปู่เทพโลกอุดร” นั่นเอง
    ในสมัยนั้นเข้าใจว่าเมื่อเสร็จสิ้นสงครามใหญ่ที่เรียกกันว่าสงครามเก้าทัพกับพม่าแล้ว โลหะต่างๆ คงจะเป็นของหายากเนื่องจาก
    ต้องน าไปใช้ท าเป็นอาวุธต่างๆ พระที่สร้างในสมัยนั้นจึงเป็นพระเนื้อดินหรือเนื้อผงเป็นส่วนมาก พระเนื้อชิน (โลหะ) มีเป็นส่วน
    น้อย ข้าพเจ้าเคยสอบถามท่านผู้รู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเปิดกรุวังหน้า ท่านเล่าว่าพระที่พบในกรุมักเป็นพระเนื้อดินเผา จะมี
    พระเนื้อชินในกรุเพียงไม่ถึง 100 องค์ในแต่ละกรุเท่านั้น จึงไม่เป็นการกล่าวเกินเลยไปว่าพระพิมพ์นี้ซึ่งมีอยู่น้อยตั้งแต่ในกรุนั้น
    คงจะสร้างขึ้นเส าหรับเจ้านายฝ่ายในเท่านั้น
    ข้าพเจ้าได้พระชุดนี้องค์แรกจากเพื่อนผู้หนึ่งเมื่อประมาณปี 2536 เมื่อไปกราบพระตามที่ต่างๆ ก็จะแขวนไปด้วยเสมอ และ
    หลายครั้งที่ได้พบกับพระหรือฆราวาสที่ท่านมีคุณวิเศษหูทิพย์ตาทิพย์ เช่น หลวงพ่อเอียด จ.พัทลุง อาจารย์รังษีญาณ หลวงน้าอ๊
    อดย่ามแดง ปู่โทน หล าแพร ฯลฯ ท่านมักจะพูดกับข้าพเจ้าว่า “แขวนพระอะไรมาล่ะรัศมีเป็นฉัพพรรณรังสีเชียวนะ” หรือไม่ก็
    จะพูดว่า “ท าไมต้องแขวนพระหลายองค์ด้วย แขวนพระองค์กลางองค์เดียวก็พอ” ทั้งนี้เพราะบางครั้งข้าพเจ้าก็แขวนไปพร้อม
    กันทีเดียว 3 องค์ แต่ก็จะแขวนพระชุดนี้ไว้เป็นองค์กลางเสมอ หรือบางท่านก็พูดปนประหลาดใจว่า “เอ๊ะนี่พระของหลวงปู่เทพ
    โลกอุดรนี่” ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าไม่เคยไปพูดหรือถามน าก่อนเลย โดยเฉพาะอาจารย์รังษีญาณ พงษ์สัจจา นั้นท่านเคยดูให้แล้วบอก
    ตรงๆ เลยว่าเป็นพระของหลวงปู่เทพโลกอุดร

    ตอบลบ
  4. ครั้งนั้นท่านดูให้ในราวปี พ.ศ. 2539 ที่บ้านของท่านย่านถนนราษฎร์บูรณะ ฝั่งธนบุรี วันที่พบกันครั้งแรกนั้นข้าพเจ้าก็ได้ท าการ
    ทดสอบท่านก่อน โดยการน ารูปรูปหนึ่งที่พกติดตัวอยู่เสมอคว่ าหน้าลงกับพื้นโต๊ะ ให้เห็นแต่กระดาษขาวหลังรูปอันว่างเปล่า
    เท่านั้น แล้วขอให้ท่านเอามือมาทาบสัมผัสหลังรูปนั้น โดยขอให้ท่านบอกว่ารู้สึกอย่างไรกับกระดาษแผ่นนี้ เมื่อท่านเอามือแตะที่
    หลังรูปเพียงครู่เดียวก็พูดออกมาว่า “นี่เป็นรูปของพระอรหันต์ผู้ไม่ตาย คือหลวงปู่เทพโลกอุดรซึ่งก็คือผู้ที่แผ่ญาณคุ้มครองคุณ
    อยู่นั่นเอง” ข้าพเจ้าฟังแล้วถึงกับขนลุกซู่น้ าตาไหลเพราะรู้สึกทั้งดีใจทั้งซาบซึ้งใจที่ได้รู้ และได้พบกับผู้ที่มีญาณทัศนะอันแม่นย า
    เช่นนี้
    นอกจากนั้น ข้าพเจ้ายังเคยขอให้พระองค์หนึ่งที่ข้าพเจ้ารักและเคารพมาก มีความสนิทสนมมานานกว่า 40 ปี (วัดอยู่ในอ าเภอ
    ขอขอบคุณ พี่อู๋
    Baramee Raktham ที่บันทึก
    ไว้ให้ศึกษาครับด าเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี) ทั้งทราบดีว่าท่านเป็นผู้ที่มีญาณทัศนะดีมากให้ช่วยตรวจดูพระองค์นี้ว่าเป็นอย่างไร ท่านบอกว่า
    “เท่าที่เห็น จะจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ เมื่อมองเข้าไปในองค์พระ ได้เห็นพระภิกษุรูปหนึ่งมีลักษณะดีน่าเคารพมาก ท่านยืนในท่า
    ส ารวมมือประสานกันที่ด้านหน้า ยืนอยู่บนเนินเตี้ยๆ ที่ปูลาดไปด้วยลานหญ้าที่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดี พระองค์นี้คือหลวงปู่
    เทพโลกอุดร เข้าใจว่าท่านจะอยู่ในแดนพิเศษที่ท่านเนรมิตขึ้น” ข้าพเจ้าฟังแล้วก็เกิดอาการปีติขนลุกทีเดียวเพราะท่านพูดตรง
    กับที่ข้าพเจ้าเคยมีนิมิตเห็นหลวงปู่เทพโลกอุดรก่อนหน้านั้นไม่ผิดเพี้ยน ทั้งลักษณะของหลวงปู่และภูมิประเทศโดยรอบ
    ท่านยังบอกอีกว่ารัศมีของพระชุดนี้เป็นฉัพพรรณรังสี ส่วนตรงกลางมีดวงกลมรัศมีสีทองสุกสว่างแตกต่างจากพระทั่วไปอีกด้วย
    ทั้งนี้พระส่วนใหญ่แต่ละองค์ก็จะมีรัศมีเพียงสีเดียว เช่น สีแดง สีขาว สีเหลือง สีเขียว สีฟ้า ฯลฯ แต่ละสีก็มีพุทธคุณแตกต่างกัน
    ไป แต่องค์นี้องค์เดียวกลับมีอยู่ทุกสี
    เมื่อประมาณปี 2541 ข้าพเจ้าและเพื่อนได้ไปกราบหลวงปู่สรวง เทพเจ้าแห่งบ้านละลม ต.ละลม อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งท่าน
    มักจะอาศัยอยู่บนแคร่ไม้ตามเชิงนา โดยไม่สนใจต่อสายลม สายฝน และแสงแดด มูลเหตุที่ข้าพเจ้าดั้นด้นไปกราบท่านก็เพราะ
    ข้าพเจ้าเคยไปพบปู่โทน หล าแพร ที่บ้านทรงไทย อ.ตาคลี (ใกล้สถานีรถไฟตาคลี) จ.นครสวรรค์ ซึ่งทราบกันดีว่าท่านก็เป็นลูก
    ศิษย์ฆราวาสของหลวงปู่เทพโลกอุดรท่านหนึ่ง แล้วได้ถามท่านว่าในปัจจุบันนี้ปู่คิดว่าใครเป็นผู้ที่มีภูมิจิตภูมิธรรมและทรงวิชาสูง
    ที่สุดในประเทศไทยที่ยังมีชีวิตอยู่ ท่านจึงบอกพวกข้าพเจ้าว่า “คิดว่าเป็นหลวงปู่สรวงแห่งบ้านละลมนะ ถ้ามีโอกาสก็ให้ไปกราบ
    ซะ” ข้าพเจ้าจึงถามที่อยู่ของท่าน แต่ปู่โทนบอกว่าที่อยู่ที่แน่นอนนั้นไม่รู้ เพราะหลวงปู่สรวงอยู่ไม่เป็นที่ แต่มักจะอยู่ที่เชิงนา ให้
    ลองไปสอบถามชาวบ้านดูเอาเอง ท่านเป็นพระชาวเขมรเข้ามาอยู่ในไทยนานแล้ว
    ข้าพเจ้าและเพื่อนก็ไม่รอช้า เมื่อมีเวลาว่างก็นั่งรถ บขส.ไปลงที่ อ.ขุขันธ์ แล้วตามหาหลวงปู่สรวงจนพบ เมื่อกราบท่านเสร็จคุณ
    นคร ศิลปศาสตร์ เพื่อนของข้าพเจ้าก็รีบเอากล้องถ่ายรูปออกมาถ่าย แต่กดชัตเตอร์ไม่ลง กดอย่างไรก็กดไม่ลง ตกลงถ่ายรูปไม่ได้
    ยืนงงอยู่ จนลูกศิษย์คนอื่นๆ ทราบก็เลยบอกให้ขออนุญาตหลวงปู่ก่อน เมื่อขออนุญาตแล้วจึงถ่ายได้เป็นที่น่าอัศจรรย์
    ข้าพเจ้าเมื่อกราบท่านเสร็จก็ถวายเครื่องสังฆทานท่านพร้อมกับซองปัจจัย ท่านก็นั่งเฉยๆ ไม่ยินดียินร้ายเพียงแต่ท าทีให้รู้ว่ารับ
    แล้ว หลังจากนั้นท่านก็แกะพลาสติกที่หุ้มถังสังฆทานออกแล้วแจกจ่ายของออกเดี๋ยวนั้นเลย เงินที่ถวายให้ท่านท่านก็ให้แก่
    ชาวบ้าน (เจ้าของที่นาที่ท่านมาอาศัยอยู่) ไม่เก็บเอาอะไรไว้เป็นของท่านเลย ข้าพเจ้าเห็นเป็นโอกาสดีจึงได้ถอดพระองค์นี้ (เลี่ยม
    ทองมาอย่างดี) ออกจากคอเพื่อให้หลวงปู่อธิษฐานจิตเพิ่มพลังให้ ในวันนั้นข้าพเจ้าแขวนไปเพียงองค์เดียว จึงได้พูดขอกับท่านว่า
    “หลวงปู่ครับช่วยเป่าเพิ่มให้ผมด้วยครับ” พร้อมกับยื่นพระส่งให้ท่านรับไว้ ท่านกลับไม่เป่าให้แต่หยิบพระขึ้นมาดูอย่างพินิจ
    พิเคราะห์ เสร็จแล้วก็เอามือถือสร้อยไว้ปล่อยให้พระห้อยลงมา ยกขึ้นยกลงพร้อมกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แล้วจึงมองมาทางข้าพเจ้า
    พร้อมกับท าทีว่าขอพระองค์นี้นะ

    ตอบลบ
  5. ข้าพเจ้ารักพระองค์นี้มากเพราะเป็นองค์แรกและได้มาโดยยากทั้งแขวนติดตัวเป็นประจ า แต่ก็อยากได้บุญและเห็นเป็นโอกาสดีที่
    พระระดับนี้มาขอกับข้าพเจ้าโดยตรงต่อหน้าคนนับสิบคนจึงตอบไปว่า “ถ้าหลวงปู่อยากได้ผมก็ยินดีถวายครับ” พอพูดขาดค า
    ท่านก็หย่อนพระของข้าพเจ้าลงกระเป๋าเสื้อที่หน้าอกท่านทันที พร้อมกับยิ้มน้อยๆ ตามเอกลักษณ์ของท่าน (วันนั้นหลวงปู่ใส่เสื้อ
    ขาวบางๆ แล้วห่มด้วยจีวรพระทับอีกชั้นหนึ่ง) พวกลูกศิษย์ต่างก็แปลกใจไปตามๆ กัน เพราะไม่เคยเห็นท่านขอพระจากใครเลย
    แม้แต่ปัจจัยสิ่งของต่างๆ ท่านก็ไม่ขอจากใครแต่กลับมาขอพระกับข้าพเจ้าทั้งที่มากราบท่านเป็นครั้งแรก ทั้งยังไม่ใช่ลูกศิษย์ที่
    ใกล้ชิดของท่านถือว่าเป็นเรื่องแปลกทีเดียว จึงได้เข้ามารุมสอบถามข้าพเจ้าเป็นการใหญ่ว่าเป็นพระอะไรมีดีอย่างไรที่หลวงปู่ถึง
    ได้ขอไว้ เป็นอันว่าพระชุดนี้องค์แรกของข้าพเจ้าได้ถวายกับหลวงปู่สรวงไปแล้ว
    ตอนขากลับข้าพเจ้าได้เข้าไปกราบลาท่านพร้อมกับขอให้ท่านเป่ากระหม่อมให้ (นึกในใจ) ข้าพเจ้าจึงก้มหน้าอยู่แต่ก็เหลือบตามองท่านก็เห็นท่านนั่งอยู่เฉยๆ ท าไม่รู้ไม่ชี้ แต่ปรากฏว่าได้มีกระแสไอเย็นพุ่งเข้ามาที่กลางกระหม่อม แล้วแทรกเข้าไปในล าตัว
    ของข้าพเจ้าทันที (กระแสเย็นนั้นพุ่งเข้ามาเป็นล าเหมือนท่อนซุงขนาดกว้าง 6-7 นิ้วเลยทีเดียว) นับเป็นครั้งแรกของข้าพเจ้าที่ได้
    มีประสบการณ์เช่นนี้ ทั้งที่ได้ไปกราบพระมาแทบจะเรียกได้ว่าทั่วประเทศ แต่ก็ไม่เคยมีท่านใดเป่ากระหม่อมข้าพเจ้าจนเป็น
    กระแสไอเย็นล าขนาดใหญ่เช่นนี้เลย มีแต่เพียงท าให้เกิดปีติขนพองขึ้นเท่านั้น สมกับที่ข้าพเจ้าเชื่อว่าหลวงปู่สรวงองค์นี้มีภูมิจิต
    ภูมิธรรมเป็นอันดับหนึ่ง และอายุท่านก็ไม่รู้ว่ากี่ร้อยปีแล้ว เพราะบางคนบอกว่า 280 ปี บางคนบอกว่าเกิน 300 ปี พร้อมกันนั้น
    ข้าพเจ้าก็โชคดีหลังจากกลับมาก็ถูกรางวัลล็อตเตอรี่งวดนั้นพอหอมปากหอมคออีกด้วย (อายุจริงเมื่อหลวงปู่สรวงละสังขารร่างนี้
    น่าจะ 514 ปี)
    เมื่อต้นเดือนธันวาคม พ.ศ. 2542 ข้าพเจ้าได้มีโอกาสพบกับอาจารย์วิทิต พูลสุวรรณ ซึ่งท่านเป็นผู้มีความสามารถพิเศษทางตา
    ทิพย์และสามารถติดต่อกับหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอกได้ โดยข้าพเจ้าได้ถอดพระชุดนี้ออกจากคอ (คนละองค์กับองค์แรก) แล้ว
    ถามอาจารย์วิทิต โดยไม่ได้มีการบอกรายละเอียดเกี่ยวกับองค์พระแต่อย่างใดเลย เพียงถามว่า “พระองค์นี้เป็นอย่างไรบ้างครับ”
    ท่านเงียบไปเพียงครู่เดียวก็พูดออกมาว่า “หลวง
    พ่อจงท่านว่าเป็นพระของหลวงปู่เทพโลกอุดรมีพุทธคุณชั้นหนึ่ง หายากมาก เป็นพระผิดพิมพ์ (แปลว่าคนทั่วไปไม่รู้จัก) คุณต้อง
    รักษาไว้ให้ดีนะเป็นของดีมาก ดีทุกทาง แขวนเพียงองค์เดียวก็พอ” และอาจารย์วิทิตยังได้พูดถึงภูมิหลังของข้าพเจ้าได้อย่าง
    ถูกต้อง ท าให้ข้าพเจ้าเชื่อว่าท่านเป็นผู้หนึ่งที่มีคุณวิเศษจริงน่าเชื่อถือได้
    ลักษณะของพระอรหันต์จกบาตรชุดนี้ ถ้าสังเกตดูให้ดีจะพบว่า โดยเฉพาะใบหน้าและรูปร่ามีความละม้ายคล้ายคลึงกับพระเนื้อ
    ผงของพระกรุวังหน้า (บุญมา) พิมพ์พระอรหันต์เล็ก พระอรหันต์กลาง พระอรหันต์ใหญ่ และพิมพ์อธิษฐานฤทธิ์ ซึ่งพระผงชุดนี้
    เป็นพระที่นิยมและรู้จักกันอย่างดีในหมู่ผู้เคารพในองค์หลวงปู่เทพโลกอุดรเป็นอย่างมากอยู่แล้ว (พระผงชุดนี้มีทั้งหมดประมาณ
    14 พิมพ์) และพระอรหันต์จกบาตรพิมพ์นี้ก็มีรูปร่างได้สัดส่วนสวยงาม สามารถมองเห็นหน้าตาคิ้วหูจมูกปากได้อย่างชัดเจน แม้
    พระรุ่นปัจจุบันก็ยังไม่เห็นมีพิมพ์ไหนงดงามเท่า

    ตอบลบ
  6. copyมาและบันทึกไว้เพื่อไม่ให้สูญหาย และไว้เพื่อการศึกษาครับ
    https://www.facebook.com/grasib/posts/1281268585240680
    อ้างอิง ขอบคุณพี่อู๋มากๆครับ

    เมื่อสังเกตดูที่ใต้ฐานก็จะพบว่ามีตุ่มโลหะเนื้อเดียวกันอยู่ตุ่มหนึ่ง ผู้ที่ไม่รู้ก็จะบอกว่าเป็นตุ่มช่อแกน (ก้าน) ของกิ่งที่ท าไว้ให้โลหะ
    วิ่งเข้าองค์พระในขั้นตอนการหล่อพระ แล้วช่างตัดไม่หมดเหลือเป็นตุ่มเอาไว้ ซึ่งก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะช่างหลวง (ช่างสิบหมู่)
    ระดับนี้จะปล่อยให้งานไม่เรียบร้อยออกไปได้อย่างไร จะเสียเวลาอีกเพียงเล็กน้อยในการขัดแต่งใต้ฐานพระให้เรียบร้อยไม่ได้
    เชียวหรือ แต่ที่น่าจะเป็นก็คือใต้ฐานพระนี้เขาเจาะรูไว้เพื่อบรรจุผงวิเศษ ซึ่งเล่าต่อๆ กันมาว่าเป็นผงที่หลวงปู่เทพโลกอุดรท่าน
    น ามาบรรจุเองมีพุทธคุณเป็นเลิศ แล้วจึงอุดฐานพระนี้ด้วย “ลูกหยอด” ผงวิเศษนี้เพียงเล็กน้อยก็คุ้มครองได้สารพัด ผู้มีไว้
    สามารถเดินทางเข้าป่าได้โดยไม่มีอันตราย พระชุดนี้จะต้องมีลูกหยอดทุกองค์
    นอกจากนั้นยังมีผงอัฐิของทหารกล้าของไทยที่ตายในสนามรบอีกด้วย ซึ่งเข้าใจว่าส่วนใหญ่จะตายลงในศึกสงครามเก้าทัพ ทุ่ง
    ลาดหญ้า เมืองกาญจนบุรี โดยฝ่ายไทยภายใต้การน าทัพของเสด็จวังหน้าได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดจนพม่าไม่กล้ามาย่ ายีไทยอีก
    เลย แม้ว่าเราจะมีก าลังน้อยกว่าพม่าเพียงหนึ่งในสามเท่านั้นก็ตาม โดยฝ่ายไทยใช้ทหารเพียง 30,000 คนเข้าตะลุมบอนกับ
    ทหารพม่าถึง 100,000 คน
    จากประสบการณ์ส่วนตัวของข้าพเจ้าก็ได้เคยสัมผัสกับจิตวิญญาณ (เทพ) ที่อยู่ในองค์พระหลายครั้ง จึงเชื่อว่าต านานที่รู้มานี้คง
    จะเป็นเรื่องจริง ซึ่งทหารเหล่านี้จะแต่งกายด้วยชุดขาวและมักจะคอยช่วยคุ้มครอง หรือมีนิมิตเตือนเรื่องต่างๆ อยู่เสมอ แต่ใน
    บางครั้งก็จะแต่งกายเป็นทหารโบราณมีดาบยาวพาดหลัง 2 เล่ม ท าหน้าที่เป็นเทพประจ าองค์พระ เชื่อกันว่าผู้ไม่มีศีลจะไม่
    สามารถเอาพระชุดนี้ไปบูชาได้เลยต้องรีบน าเอาไปถวายวัด แต่ส าหรับผู้มีศีลมีธรรมแล้วจะกลับกัน เพราะจะรู้สึกรักในองค์พระ
    มองดูไม่รู้เบื่อกับพุทธศิลป์ชั้นเลิศ ใช้แล้วดีมีกินมีใช้ ไม่มีค าว่าอดเมื่อตอนที่ข้าพเจ้าจะได้พระอรหันต์จกบาตรองค์แรกนั้น ข้าพเจ้าได้มีนิมิต (ฝัน) เห็นเจ้าของเดิมเดินมาหาข้าพเจ้าพร้อมทั้งยื่น
    มือที่ถือพระอรหันต์จกบาตรมาให้แล้วพูดว่า “พระเป็นของคุณ” ข้าพเจ้ารับพระองค์นั้นไว้พร้อมกับพนมมือขึ้นเหนือเกล้าด้วย
    ความปีติอย่างยิ่งแล้วก็สะดุ้งตื่นขึ้นในช่วงเช้ามืด ในวันนั้นเองเจ้าของพระเดิมก็โทรมาหาข้าพเจ้า พร้อมทั้งบอกว่าได้ตัดสินใจที่
    จะมอบพระให้ข้าพเจ้าแล้วหลังจากที่เคยให้สัญญาไว้เมื่อหลายเดือนก่อน หลังจากนั้นประมาณ 3-4 วันข้าพเจ้าก็ได้พระองค์นั้น
    มา ซึ่งก็มีเรื่องที่ขอเล่าแถมท้ายว่า เช้าตรู่ของวันที่จะได้พระมานั้นข้าพเจ้าก็มีนิมิต (ฝัน) ตอนเช้ามืดอีกว่า ได้เข้าเฝ้าในหลวงองค์
    ปัจจุบันภายในพระราชวังเป็นการส่วนพระองค์อีกด้วย ซึ่งโดยทั่วไปการที่ได้ฝันถึงองค์ในหลวงเขาก็ถือกันว่าเป็นฝันดีจะมีโชค
    อะไรท านองนั้น ในส่วนของข้าพเจ้าก็ถือว่าเป็นโชคดีอย่างยิ่งที่จะได้เป็นเจ้าของพระอรหันต์จกบาตรในวันนั้น (เป็นองค์เดียวกับ
    ที่ถวายลป.สรวง)

    ตอบลบ
  7. คืนแรกที่ได้มาข้าพเจ้าก็ท าการทดสอบเลย โดยการนั่งสมาธิก าหนดจิตให้นิ่งแล้วก็อธิษฐานขอเข้าไปดูในองค์พระว่ามีอะไรบ้าง
    นั่งอยู่เป็นชั่วโมงก็ไม่เห็นอะไรเลยเลิกนั่ง พอล้มตัวลงนอนเพียงไม่นานเท่านั้นจิตก็วิ่งวูบเข้าไปที่องค์พระ เหมือนโดนดูดเข้าไป
    ด้วยความเร็วรู้สึกเสียวแวบเดียวก็เหมือนเข้าไปยืนอยู่ที่ๆ หนึ่ง รอบๆ ตัวมองไม่เห็นอะไรเพราะเป็นความมืด แต่ด้านหน้าที่
    มองเห็นนั้นมีคนอยู่กลุ่มหนึ่งเป็นผู้ชายนั่งอยู่รอบโต๊ะไม้ที่ใช้ประชุมกัน มีกันอยู่ประมาณ 4-5 คน นั่งมองมาทางข้าพเจ้าเหมือน
    รอข้าพเจ้าอยู่อย่างนั้น ทุกคนแต่งตัวด้วยชุดขาวหน้าตาเข้มแข็งน่าเกรงขาม ทั้งหมดอยู่ในวัยกลางคน บางคนไว้หนวดดูดุดัน
    บางคนก็ยิ้มแย้มท่าทางดีใจที่ได้พบรู้จักกันเป็นครั้งแรก แต่ที่แปลกก็คือข้าพเจ้าเห็นมีผู้หญิงท่านหนึ่งยืนอยู่ที่หัวโต๊ะตรงข้ามกับ
    ข้าพเจ้าด้วย หน้าตาสะสวยท่าทางเป็นผู้ดีซึ่งก็แต่งตัวด้วยชุดสีขาวเช่นกัน แต่ในใจนั้นบอกว่าท่านผู้นี้ไม่ได้เป็นทหารเหมือนท่าน
    อื่นๆ ที่นั่งล้อมวงอยู่ ท าให้ข้าพเจ้ามั่นใจว่าพระทุกองค์ในชุดนี้จะต้องมี “จิตวิญญาณ (เทพ ) ของเหล่าทหารกล้ารักษาอยู่ทุก
    องค์”
    แม้ท่านอื่นก็เคยบอกข้าพเจ้าว่าในองค์พระมีจิตวิญญาณทหารสถิตอยู่ ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้บอกก่อนแต่อย่างไร อย่างเช่นคุณต๊ะ
    (อ.พงศ์พันธ์ พุ่มพวง) เพื่อนรุ่นน้องของข้าพเจ้าคนหนึ่งมีอาชีพรับราชการทหาร แต่เขามีจิตสัมผัสสิ่งต่างๆ ได้เคยตรวจพระชุดนี้
    ให้ข้าพเจ้า เมื่อเขาตรวจไปได้ประมาณ 5 นาที เขาก็ร้องไห้ออกมาท าให้ข้าพเจ้าตกใจมากเพราะอยู่ดีๆ ท าไมจึงร้องไห้น้ าตาไหล
    พรากอย่างนั้น เขาบอกข้าพเจ้าว่า “พี่อู๋รู้ไหมในพระองค์นี้มีจิตวิญญาณทหารนักรบโบราณของไทยอยู่ เขาพาผมไปดูการรบใน
    สมัยนั้นเห็นก าลังตะลุมบอนกันจนฝุ่นฟุ้งไปหมด ไม่รู้ใครเป็นใคร ได้ยินเสียงดาบกระทบกัน เสียงร้องของคนที่ถูกดาบฟัน เสียง
    ม้า เสียงอะไรต่ออะไรดังแข่งกันไปหมด” ท าให้เขารู้สึกสะท้านใจ และคิดถึงบุญคุณคนไทยสมัยนั้นที่ยอมสละชีวิตป้องกัน
    ประเทศชาติจนตัวตาย ท าให้เราได้มีแผ่นดินอยู่อย่างสุขสบายทุกวันนี้
    นอกจากนั้นในบางครั้งเมื่อคุณต๊ะตรวจพุทธคุณพระชุดนี้ก็จะลุกขึ้นพรวดพราด แล้วก็ออกร่ายร าเพลงดาบกระบี่กระบองให้ชม
    เหมือนอย่างการแสดงหน้าพระที่นั่ง ท่าร่ายร าฟาดฟันก็ท าได้อย่างงดงามรวดเร็วไม่เคยได้เห็นจากที่ใดจะงามเช่นนี้เลย แสดงว่า
    ผู้ร่ายร าเพลงดาบจะต้องเป็นผู้ที่มีทักษะการฟันดาบเป็นอย่างดี นับเป็นบุญตาของข้าพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง และในบางครั้งก็ลุกขึ้น
    ร่ายร าแม่ไม้มวยไทยให้ชม การชกมวยในสมัยนั้นก็จะมีท่าทางแปลกไปจากปัจจุบันมาก เพราะมีการนั่งย่อตัวลงและกระโดดตัว
    ลอยขึ้นสูงเพื่อรุกกระท าฝ่ายตรงข้าม ทั้งสับศอกตีเข่าอย่างดุดันอีกด้วย (สมัยนี้เห็นมีแต่ท่ายืนเพียงอย่างเดียว) การไหว้และการ
    คลานเข่าก็ดูนอบน้อมนุ่มนวลรวดเร็วแสดงถึงการได้รับการฝึกฝนอบรมมาเป็นอย่างดี

    ตอบลบ
  8. เพื่อนรุ่นน้องของข้าพเจ้าอีกคนหนึ่งชื่อคุณอ านาจ กลิ่นหอม (คุณอ้วน) ได้เล่าว่าอดีตนายทหาร คือพล.ท.ธวัช นรินทรางกูร
    (บุนนาค) ก็มีพระอรหันต์จกบาตรนี้ใช้อยู่เช่นกัน (ขอประทานโทษที่เอ่ยนามของท่านก่อนได้รับอนุญาต) โดย พล.ท.ธวัชเล่าให้
    ฟังว่าได้พระนี้มาจากพระธุดงค์ที่ไม่รู้จักในป่าแห่งหนึ่ง ท่านได้มอบไว้ให้ถึง 3 องค์ด้วยกัน นับแต่นั้นท่านก็น ามาบูชาติดตัวตลอด
    ซึ่งก็ได้เคยช่วยชีวิตท่านไว้หลายครั้ง โดยครั้งแรกที่ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร ท่านถูกผู้ก่อการร้ายลอบยิงข้างหลังถึง 7 นัด ปรากฏว่าลูกปืนตกลงก่อนที่จะถูกตัวท่านทั้ง 7 นัด ครั้งที่สองท่านก็ถูกยิงด้วยปืนเอ็ม 16 ที่ในประเทศลาวอีก แต่ปรากฏว่าลูกปืนไม่เข้าคง
    ติดอยู่ที่ผิวหนังคล้ายก้อนดิน ท่านจึงรักและหวงพระชุดนี้มากใครมาขอเช่าท่านก็ไม่ให้ แม้แต่คุณอ านาจเองไปขอเช่าท่านก็ยัง
    ไม่ให้เลย ตอนหลังคุณอ านาจจึงได้เล่าให้ท่านฟังว่าพระชุดนี้เป็นของหลวงปู่เทพโลกอุดรที่ได้ปลุกเสกไว้ ท่านจึงดีใจมากเพราะที่
    ผ่านมาหลายปีก็ไม่ทราบว่าเป็นพระของใครสร้าง ปัจจุบัน (ปี 2544) ท่านเป็นนายทหารนอกราชการมีอายุได้ 70 กว่าปีแล้ว
    นอกจากนั้นคุณอ านาจยังเล่าให้ฟังอีกว่าหลังจากที่ได้พระอรหันต์จกบาตรจากข้าพเจ้าไป 1 องค์ ท่านก็อธิษฐานขอลาภ (หวย)
    จากองค์พระเพื่อจะได้น าเงินไปท าบุญและเลี่ยมทอง ท่านขออยู่เกือบ 2 เดือน ก็ปรากฏว่าในวันหนึ่งขณะนั่งอยู่บนรถเมล์ มีชาย
    ผู้หนึ่งนั่งอยู่ทางด้านหน้าของท่านได้ควักกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาแล้วก็หยิบกระดาษขึ้นมาแผ่นหนึ่งมาขย าๆ แล้วก็โยนทิ้งมาที่พื้นรถ
    หน้าคุณอ้วน คุณอ้วนไม่รู้นึกอย่างไรก็เอามือหยิบเศษกระดาษนั้นใส่ลงในกระเป๋าเสื้อ พอกลับมาถึงบ้านก็คลี่กระดาษนั้นออกดูก็
    เห็นเป็นล็อตเตอรี่ วันนั้นเป็นวันออกสลากพอดีก็เรียกภรรยาให้เอาใบประกาศผลมาตรวจดู ปรากฏว่าถูกรางวัลที่ 5 จ านวน 2
    ใบ ได้เงินมาสองหมื่นบาท (เข้าใจว่าเจ้าของเดิมทิ้งล็อตเตอรี่เพราะคิดว่าไม่ถูกรางวัล) คุณอ านาจจึงน าเงินไปเช่าพระขนาด
    ประมาณ 19 นิ้ว น าไปถวายแก่หลวงปู่กอง จันทวังโส วัดสระมณฑล (มรณะแล้วเมื่อปี 2546) อ.เมือง จ.อยุธยา 1 องค์ และเงิน

    ตอบลบ
  9. อีกส่วนหนึ่งก็น าไปเลี่ยมทองพระอรหันต์จกบาตรองค์นั้น ท าให้คุณอ านาจเชื่อมั่นศรัทธาต่อพระอรหันต์จกบาตรและหลวงปู่เทพ
    โลกอุดรเป็นอย่างสูง ไปไหนมาไหนก็ต้องน าติดตัวไปด้วยเสมอ
    หลังจากนั้นประมาณเดือนพฤศจิกายน 2545 คุณอ านาจได้ไปท าบุญกับหลวงพ่อมโนธรรม มนธัมโม ส านักสงฆ์สหบุญญาราม
    บ้านปางวุ้น ต.ผักขวง อ.ทองแสนขัน จ.อุตรดิตถ์ หลวงพ่อมโนธรรมท่านนี้นับเป็นผู้ที่มีความผูกพันกับหลวงปู่เทพโลกอุดรเป็น
    อย่างมากองค์หนึ่ง เพราะตั้งแต่เป็นเด็กมาแล้วที่หลวงปู่เทพโลกอุดรได้มาพบและช่วยเหลือท่านหลายครั้ง ทั้งยังได้เคยติดตาม
    หลวงปู่เข้าไปในถ้ าอันลึกลับแห่งหนึ่ง อันเป็นถ้ าที่หลวงปู่ใช้สอนลูกศิษย์ของท่านนับสิบๆ องค์อีกด้วย วันนั้นนับเป็นครั้งแรกที่
    คุณอ านาจได้ไปท าบุญที่วัดแห่งนี้ เมื่อไปถึงก็ก้มลงกราบหลวงพ่อพอเงยหน้าขึ้นยังไม่ทันจะพูดอะไร หลวงพ่อมโนธรรมก็พูด
    ขึ้นมาก่อนเลยว่า “มีพระอรหันต์จกบาตรด้วยหรือ อาตมาก็เคยมีนะ เมื่อก่อนมีถึง 9 องค์ แต่ได้น าไปถวายไว้ที่วัดต่างๆ
    หมดแล้ว” นอกจากนั้นท่านยังบอกอีกว่าให้ใช้เพียงองค์เดียวก็พอ คุณอ านาจประหลาดใจมากเพราะใส่พระเอาไว้ในเสื้อหลวง
    พ่อท่านรู้ได้อย่างไร และวันนั้นท่านก็สวมสร้อยที่มีพระ 3 องค์ในสร้อยเส้นเดียวกัน โดยห้อยพระอรหันต์จกบาตรไว้เป็นองค์
    กลางถูกต้องตามค าบอกของหลวงพ่อมโนธรรมทุกประการ
    เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2544 ในงานวิทยาศาสตร์ทางจิต ที่จัดขึ้นที่วิทยาลัยรัชต์ภาคย์ ซอยรามค าแหง 21 กทม. ข้าพเจ้าได้พบกับ
    อาจารย์อรุณ พิมพ์งาม ซึ่งท่านเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงว่ามีญาณวิเศษสามารถล่วงรู้เรื่องราวต่างๆ ได้จริง หลังจากทักทายกันได้พักหนึ่ง
    ข้าพเจ้าก็น าพระอรหันต์จกบาตรที่ห้อยคออยู่นั้นยื่นส่งให้ท่านดู โดยบอกท่านเพียงว่าช่วยพิจารณาดูให้หน่อยว่าเป็นอย่างไร

    ตอบลบ
  10. ท่านดูเพียงครู่เดียวก็พูดขึ้นว่า “อาจารย์ของผม (ลพ.โอภาสี) บอกว่าพระองค์นี้สร้างโดยอาจารย์ของอาจารย์ เป็นของที่
    ศักดิ์สิทธิ์มากจนเรียกได้ว่าเป็นของวิเศษ เพราะสร้างโดยพระอภิญญาที่ชื่อว่าหลวงปู่เทพโลกอุดร คุณน าขึ้นห้อยคอเพียงองค์
    เดียวเดี่ยวๆ ได้เลย” ข้าพเจ้าจึงเชื่อว่าพระอรหันต์จกบาตร กรุวังหน้านี้จะต้องเป็นพระที่ปลุกเสกโดยหลวงปู่เทพโลกอุดร
    แน่นอน เพราะผู้มีญาณทัศนะที่เป็นที่ยอมรับกันว่าเก่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์รังษีญาณ พงษ์สัจจา อาจารย์วิทิต พูลสุวรรณ
    และอาจารย์อรุณ พิมพ์งาม ต่างก็พูดตรงกันว่าเป็นพระของหลวงปู่เทพโลกอุดร โดยที่ข้าพเจ้าไม่ได้ถามน าหรือให้ข้อมูลใดๆ
    ก่อนเลย
    หลังจากนั้นอ.อรุณจึงได้เล่าว่า ท่านเองก็เคยพบหลวงปู่เทพโลกอุดรมาแล้วอย่างไม่คาดฝัน โดยพบครั้งแรกในนิมิตขณะที่ท่านนั่ง
    สมาธิอยู่ที่มูลนิธิโลกทิพย์ (ประมาณปี 2543) โดยท่านเห็นพระหนุ่มองค์หนึ่งมาบอกว่าให้เริ่มสร้างพระใหญ่ที่ อ.เชียงคาน จ.เลย
    ได้แล้ว ไม่ต้องกังวลอะไรท่านจะช่วย และจะสอนการท า “ตัว พ” (พ่อ คือพระพุทธเจ้า) ให้เพื่อเป็นของสมนาคุณแก่ผู้มาร่วม
    สร้างพระ “ตัว พ” นี้ท่านก็เคยสอนให้แก่พระเย็นที่วัดระฆัง (ลป.เย็น ผู้สร้างวัดสระเปรียญ จ.ชัยนาท) มาแล้ว เมื่อท่านสอนเสร็จอ.อรุณจึงได้ลืมตาขึ้นก็ปรากฏว่ามี “ตัว พ” อยู่หน้าท่าน 1 ตัวจริงๆ แต่ในใจของท่านก็ยังคงอดสงสัยไม่ได้ว่านิมิตนี้จะเป็น
    ของจริงหรือไม่
    พอวันรุ่งขึ้นขณะที่ท่านก าลังดูโชคชะตาให้คนที่มูลนิธิโลกทิพย์อยู่นั้น ก็ได้มีพระองค์หนึ่งมานั่งรอคิวคล้ายจะมาให้ดูโชคชะตาเช่น
    คนอื่นๆ พอถึงคิวท่านท่านก็มานั่งที่เก้าอี้ตรงหน้าอ.อรุณพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เธออย่าสงสัยอีกเลย ฉันมาสอนเธอให้ท า “ตัว พ”
    จริงๆ และที่มาในวันนี้ก็เพื่อจะบอกให้เธอแน่ใจเรื่องนี้เท่านั้น” เมื่อท่านพูดจบอ.อรุณถึงกับตกใจและหกล้มตกจากเก้าอี้ทันที ท า
    ให้คนอื่นๆ ที่อยู่บริเวณนั้นต่างหันมามองเป็นจ านวนมากเพราะคิดว่าอ.อรุณไม่สบาย หลวงปู่เทพโลกอุดรจึงพูดกับ อ.อรุณว่ารีบ
    ขึ้นมานั่งที่เก้าอี้เถอะจะได้ไม่เป็นที่สนใจของคนอื่น แล้วท่านก็บอกว่าจะกลับล่ะ อ.อรุณจึงลุกขึ้นไปส่งท่านถึงประตู พอย่างเท้า
    ผ่านประตูเท่านั้นท่านก็หายไปต่อหน้าเลย

    ตอบลบ
  11. ลพ.ขาว พุทธรักขิโต วัดป่าคูณค าวิปัสสนา บ้านกลาง ต.กุดให อ.กุดบาก จ.สกลนคร ซึ่งได้พบหลวงปู่เทพโลกอุดรหลายครั้ง
    ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และต่อมาหลวงปู่ได้พาขึ้นไปอยู่บนภูเขาควาย ประเทศลาวเพื่อฝึกสมาธิและเรียนวิชากับท่าน ลพ.ขาวได้เล่าให้
    ข้าพเจ้าฟังว่าท่านได้เคยถามหลวงปู่เทพโลกอุดรถึงพระเครื่องของหลวงปู่ที่ถกเถียงกันมานานว่ามีจริงหรือไม่ กรุนี้กรุนั้นเป็นของ
    ท่านใช่ไหม ท่านได้เมตตาเล่าว่า “ท่านสร้างพระไม่เป็น ท่านสร้างเป็นแต่พระนิพพาน ส่วนใหญ่จะเป็นลูกศิษย์สร้างไว้และน าไป
    ฝังหรือบรรจุไว้ตามถ้ าตามป่าตามเขา ในภายหลังถูกค้นพบก็น ามาให้เช่าบูชากัน ซึ่งท่านบอกว่าท่านไม่ได้อธิษฐานจิตให้ ยกเว้น
    พระเครื่องวังหน้าที่วังหน้าสร้างขึ้นนั้นท่านอธิษฐานจิตให้จริง” หลวงปู่ใหญ่ท่านมักจะเรียกเสด็จวังหน้าว่า “วังหน้า” เฉยๆ และ
    ลพ.ขาวคิดว่าเสด็จวังหน้าพระองค์นี้ก็คือกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาถ (บุญมา) ในรัชกาลที่ 1 นั่นเอง
    มีพระองค์หนึ่งที่สนิทสนมชอบพอกับข้าพเจ้ามาก ข้าพเจ้าขอเรียกท่านเพียงว่า “หลวงพี่” เพราะท่านขอไม่ให้เอ่ยนามท่านให้
    ผู้อื่นรู้ ท่านอายุได้ประมาณ 52 ปี (ปี 45) ท่านเป็นพระไม่อยากดัง หลวงพี่องค์นี้เป็นผู้มีนิสัยท าอะไรท าจริง ท าจนกว่าจะส าเร็จ
    ไม่อย่างนั้นไม่หยุดท า ท่านเคยเดินทางเข้าไปศึกษาวิชาในถ้ าแห่งหนึ่งชื่อว่า “ถ้ าธรรมสภา” ที่ภูเขาควายในประเทศลาว (ภูเขา
    ลูกนี้ตั้งอยู่ทางด้านเหนือของเมืองเวียงจันทน์ อยู่กลางป่าอันเร้นลับ) ซึ่งเป็นเขตติดต่อระหว่างลาวและเวียดนาม ท่านบอกเหตุที่
    เขาเรียกกันว่าภูเขาควายก็เพราะเมื่อมองดูขุนเขาลูกนี้จากภายนอก จะมองดูคล้ายควายนอนหมอบอยู่ และนอกจากนั้นภายใน
    ถ้ าอันลึกลับแห่งนี้ยังมีเขาควายสีด าอยู่ 2 เขา แต่ละเขายาวเกือบ 2 เมตรทีเดียว คงจะเป็นเขาของควายในสมัยโบราณอันเป็น

    ตอบลบ
  12. ที่มาของชื่อภูเขาควาย
    ในครั้งแรกที่ข้าพเจ้ารู้จักกับหลวงพี่องค์นี้เป็นครั้งแรกนั้น ข้าพเจ้าก็แขวนพระองค์นี้ไว้ด้านนอกเสื้อ เมื่อคุยกันไปคุยกันมานาน
    พอสมควร ข้าพเจ้าก็สังเกตเห็นว่าท่านชอบจ้องมองมาที่องค์พระของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงถามท่านว่าเคยเห็นพระแบบนี้มาบ้าง
    ไหม ท่านบอกข้าพเจ้าว่า “อาตมาเคยเห็นพระแบบนี้มาแล้ว มีอยู่ในถ้ าที่ภูเขาควายประเทศลาว” อันเป็น “ตักศิลาของเหล่า
    พระอภิญญา” ซึ่งมีพระผู้ทรงวิทยาคมแต่ต้องการความสงบอยู่มากมาย และท่านใดก็ตามที่สามารถ “สอบผ่าน” ถ้ าแห่งนี้ได้ก็
    นับว่าเป็นพระที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
    ต่อมาในภายหลังข้าพเจ้าได้ถวายพระอรหันต์จกบาตรนี้แด่หลวงพี่ด้วย 1 องค์ พอ 1 อาทิตย์ผ่านไปข้าพเจ้าก็ได้พบกับท่านอีก
    ครั้งจึงได้ถามท่านว่า “หลวงพี่ครับพระที่ผมถวายไปเป็นอย่างไรบ้าง” ท่านตอบมาว่า “เป็นพระที่ดีมากที่สุดเลยโยม อาตมาดีใจ
    มากที่โยมถวายให้ และขอยืนยันว่าพระนี้ปลุกเสกโดยหลวงปู่เทพโลกอุดรจริง สามารถใช้เป็นสื่อส าหรับติดต่อกับหลวงปู่เทพโลก
    อุดรได้เป็นอย่างดี ในบางวันก็มีทหารโบราณมายืนอยู่ด้านนอกกุฏิเต็มไปหมด”
    และล่าสุดประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2548 ข้าพเจ้าได้ไปกราบพระยกพล โรจนธัมโม วัดหนองดง ต.หัวทะเล อ.บ าเหน็จณรงค์ จ.
    ชัยภูมิ ท่านได้เล่าถึงเรื่องที่ได้ออกธุดงค์ในป่าแถบจังหวัดชัยภูมิและเพชรบูรณ์ โดยไปพร้อมกับเณร 2-3 รูป เมื่อเข้าไปอยู่ในป่าลึกปรากฏว่าไม่มีบ้านคนอยู่เลย เดินธุดงค์อยู่หลายวันทั้งๆ ที่ไม่ได้ฉันอาหาร ท่านบอกว่าสงสารพวกเณรมากที่หิวข้าวจนเป็นลม
    ส่วนตัวท่านเองแม้จะหิวปานใดก็ไม่ได้ย่อท้อ จนมาถึงที่แห่งหนึ่งซึ่งทุกคนเดินทางต่อไปไม่ไหวแล้ว ปรากฏว่าได้พบกับท่านฤๅษี
    องค์หนึ่ง (อยู่ในร่างผ้าขาว) ได้น าอาหารมาให้ ท่านเลยขอให้เณรได้ฉันก่อนส่วนท่านขอฉันส่วนที่เหลือจากเณร ท าให้ฤๅษีองค์นั้น
    เห็นว่าท่านมีจิตใจเด็ดเดี่ยวจึงได้พาท่านเข้าไปในถ้ าแห่งหนึ่งที่เรียกว่า “ถ้ าหอม” ต่อมาจึงได้ทราบว่าฤๅษีท่านนี้มีชื่อว่า “ฤๅษี
    โสดา” หนึ่งใน 2 ฤๅษีที่รับใช้หลวงปู่เทพโลกอุดร ซึ่งฤๅษีอีกองค์หนึ่งมีชื่อว่า “ฤๅษีสิงขร” นอกจากนั้นก็ยังมีศิษย์ฆราวาสชื่อว่า
    “ปู่โทน” อีกท่านหนึ่ง

    ตอบลบ
  13. ท่านและเณรจึงได้อยู่ปฏิบัติธรรมในถ้ าแห่งนั้นอย่างสะดวกสบาย ไม่ต้องพะวงกับของขบฉันอีก ในเวลาต่อมาท่านจึงมีโอกาสได้
    ไปเข้าไปเรียนวิชาใน “ถ้ าวัวแดง” ซึ่งเป็นที่พ านักของหลวงปู่เทพโลกอุดร (ไม่ใช่ถ้ าวัวแดงที่ อ.หนองบัวแดง จ.ชัยภูมิ แต่ก็
    สามารถเข้าไปถึงถ้ าวัวแดงที่แท้จริงได้เช่นกันโดยต้องเข้าทาง “ถ้ าน้ า” ท่านบอกว่าทางเข้าถ้ าวัวแดงที่แท้จริงนั้นเข้ากันคนละ
    ด้านกับถ้ าวัวแดงแห่งนี้เลย) จนทุกวันนี้ท่านก็ได้ถวายงานตามค าแนะน าของหลวงปู่เทพโลกอุดร ที่ใช้ให้ท่านไปท านุบ ารุงวัด
    ต่างๆ โดยห้ามอยู่นานเกินแห่งละ 3 ปี และเมื่อถึงเวลาก็จะต้องกลับไปที่ถ้ าวัวแดงเพื่อฝึกปฏิบัติในขั้นสูงต่อไป ในวันนั้นข้าพเจ้า
    สวมพระอรหันต์จกบาตรไปด้วยจึงได้ถอดส่งให้ท่านพระยกพลดู และได้ถามท่านว่า “เคยเห็นพระแบบนี้บ้างไหมครับ” ท่านดูอยู่
    ไม่นานก็ตอบมาว่า “เคยเห็นพระแบบนี้มาแล้วมีอยู่ในถ้ าวัวแดง ทั้งยังมีเนื้อดินอีกด้วยนะ” เป็นอันว่าข้าพเจ้าได้ความรู้ใหม่ว่า
    พระชุดนี้มีเนื้อดินอีกด้วย
    ยังมีพระที่ข้าพเจ้าเคารพมากอีกหนึ่งองค์ ท่านเป็นพระผู้ชราภาพมากแล้ว มีต าแหน่งเป็นรองเจ้าอาวาสวัดอยู่แถวฝั่งธนบุรี (ท่าน
    ก็คือหลวงพ่อภาวนาโกศลเถระ วัดปากน้ าภาษีเจริญ) ท่านมีลักษณะที่เด่นแปลกไปจากพระองค์อื่นๆ ก็คือใบหูของท่านเหมือน
    ใบหูของพระพุทธรูปที่เขาปั้นกัน คือเรียวยาวไม่กลมป้อมเหมือนคนทั่วไป ติ่งหูก็ยาวมาก ท่านเป็นพระผู้ที่มีญาณทัศนะชั้นเยี่ยม
    คือรวดเร็วและแม่นย า สมัยที่ข้าพเจ้ายังเรียนหนังสืออยู่ที่จุฬานั้น เวลาที่ไปพบท่านในแต่ละครั้ง ข้าพเจ้าก็จะนั่งสมาธิหน้ากุฏิ
    ท่านแล้วส่งกระแสจิตบอกท่านว่าผมมาพบทั้งนี้เพราะเป็นปกติที่ท่านจะปิดประตูอยู่แต่ภายในกุฏิแบบเดียวกับท่านเจ้าคุณนร
    แต่ก็เป็นเรื่องแปลกมากที่ภายในเวลาไม่เกิน 5 นาที ท่านก็จะเปิดประตูออกมาทุกครั้งแล้วถามว่า “วันนี้มามีธุระอะไรอีกล่ะ”
    เสียงท่านจะเข้มๆ ท าให้เด็กอย่างข้าพเจ้ากลัว แต่ก็รู้สึกทึ่งในญาณทัศนะของท่านเสมอเพราะเป็นพระองค์เดียวที่ข้าพเจ้าไม่ต้อง
    เคาะประตูเลย

    ตอบลบ
  14. เมื่อไม่นานมานี้ (พค.48) มีท่านผู้หนึ่งเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า พระผู้ชราท่านนี้ได้พระอรหันต์จกบาตรจากพระองค์หนึ่งที่น าไปถวาย
    ท่าน ทันทีที่ท่านเห็นพระอรหันต์จกบาตรก็พูดขึ้นมาเลยว่า “นี่เป็นพระของหลวงปู่เทพโลกอุดร พระชุดนี้มีอยู่ 2 พิมพ์ อีกพิมพ์
    หนึ่งเป็นพิมพ์พระสังกัจจายน์ ต่อไปจะเป็นพระที่มีราคาแพง และก็จะมีพระปลอมออกมาต้องระวังให้ดีนะ”
    ดังนั้นหากท่านใดได้พบพระพิมพ์นี้ก็ขอให้รีบเก็บไว้โดยเร็ว เพราะท่านจะได้มีไว้ซึ่งพระที่ดีที่สุดองค์หนึ่ง ดีทั้งในแง่พุทธศิลป์และ
    ในแง่พุทธคุณ ทั้งยังได้ภูมิใจว่าได้มีพระที่หาได้ยากยิ่งพิมพ์หนึ่งไว้ในครอบครองอีกด้วย พระชุดนี้มีผู้พบว่าขึ้นที่กรุวังหน้าบ้าง กรุ
    วัดเชิงท่าบ้าง วัดในอยุธยาบ้าง ในถ้ ากลางป่าเขาบ้าง อย่าได้แปลกใจเลยว่าท าไมมีขึ้นในหลายกรุหลายที่ ทั้งนี้พระเก่าในสมัย
    โบราณเขาก็นิยมฝากกรุกันหลายที่เป็นปกติอยู่แล้ว แต่ที่ส าคัญเราจะต้องเลือกพระที่มี “ลูกหยอด” ที่ฐาน อันแสดงว่าพระองค์
    นั้นได้รับการเจาะฝังผงวิเศษและอัฐิวิญญาณทหารกล้า (เทพประจ าองค์พระ) เอาไว้ภายในองค์พระเรียบร้อยแล้ว หากใครอยาก
    ได้ไว้บูชาก็สามารถมาท าบุญสร้างพระมหาเจดีย์ที่วัดหลวงพ่อสดก็จะได้รับพระอรหันต์จกบาตรไว้เป็นที่ระลึก ได้บุญด้วยและได้
    ของดีไว้ติดตัวด้วยครับ
    (เพิ่มเติม) คนโบราณเขาบอกว่าวิธีพิสูจน์ว่าพระองค์ไหนดีจริงก็ต้องลองเอาพระไปตัดสายรุ้งดู ผมเลยเอาบ้างน าพระอรหันต์จก
    บาตรก าไว้ในมืออธิษฐานฟันฉับตัดสายรุ้ง สายรุ้งขาดออกเป็นช่องเลยครับความเป็นมาของพระอรหันต์จกบาตร โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 14 มี.ค. 2560
    เมื่อหลายสิบปีมาแล้วที่ผมได้พระอรหันต์จกบาตรองค์แรกมาจากเพื่อนคนหนึ่ง ตอนนั้นผมต้องใช้เงินไปถึง 4 หมื่นบาทในการ
    บูชาพระองค์นี้มาเพียงองค์เดียว เงิน 4 หมื่นสมัยนั้นก็น่าจะเท่ากับเงิน 8 หมื่นบาทในสมัยนี้ ถามว่าเสียดายเงินไหม ผมไม่
    เสียดายเลย เพราะเพื่อนคนนี้ก็จะน าเงิน 4 หมื่นบาทของผมไปหล่อรูปหลวงปู่เทพโลกอุดรในท่านั่งสมาธิขนาดหน้กตักประมาณ
    30 นิ้ว ซึ่งค่าใช้จ่ายในการปั้นและหล่อก็ราวๆ 4-5 หมื่นบาท เท่ากับผมก็มีส่วนในการหล่อรูปเหมือนของหลวงปู่เทพโลกอุดร
    ด้วย ในวันนั้นเจ้าของพระถามผมว่า "คุณอู๋ยังคิดจะบูชาหระอรหันต์จกบาตรอยู่อีกไหม (เพราะราคาแพงมาก) ถ้าคุณอู๋เปลี่ยนใจ
    ไม่เอาผมก็ไม่ว่าอะไรแต่จะให้คนอื่นเขาบูชาไป" เพื่อนผมท่านนี้พูดต่อหน้าคนอีก 4-5 คนที่นั่งล้อมวงกันอยู่ หลายคนในวงนั้นก็
    พยักหน้าว่าอยากได้พระองค์นี้พร้อมที่จะขอบูชาต่อจากผม
    ผมก็บอกไปว่า "ตกลงผมขอบูชาแน่นอน อีก 1-2 วันจะมาเอาพระแล้วจ่ายเงินให้เลย" ก็เป็นอันว่าผมจะได้พระแน่นอน คนอื่นก็
    แห้วไปนะครับ สมัยนั้นการจะหาพระอรหันต์จกบาตรให้ได้ซัก 1 องค์มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะตั้งแต่วันแรกที่ผมเห็น
    พระอรหันต์จกบาตรผมก็อยากได้มาก เจ้าของพระก็ไม่ยอมปล่อยและกลับบอกว่า "คุณอู๋ไปหาพระในตลาดดูก่อน อาจจะได้พบ
    เจอบ้าง ถ้าหาไม่ได้จริงๆ ค่อยมาคุยกันใหม่ เพราะผมก็มีอยู่องค์เดียว" เขาให้เวลาผมไปหาพระประมาณเกือบๆ 1 ปีเต็ม ผมต้อง

    ตอบลบ
  15. เข้าไปเดินในตลาดพระจนทั่วทั้งท่าพระจันทร์ บางล าภู ตลาดใหม่ดอนเมือง พญาไม้ จตุจักร และตามงานประกวดพระ ฯลฯ แต่
    ก็ไม่อาจหาได้ซักองค์ ยอมรับว่าถอดใจเลยเพราะเสียเวลาและแรงกายไปมากจริงๆ
    วันที่จะได้พระอรหันต์จกบาตรองค์แรกมาอยู่ในมือ ท่านก็แสดงปาฏิหาริย์ให้ผมเห็นเลย คือวันนั้นผมมีนิมิตฝันตอนเช้าตรู่ว่าพระ
    อรหันต์จกบาตรองค์ของเพื่อนผมนั้นแหละท่านเสด็จเหาะลอยมาในอากาศ ผมเห็นดังนั้นก็เลยยื่นมือขวาแบมือออกไปรอรับท่าน
    แล้วพระอรหันต์จกบาตรองค์นั้นก็เสด็จลอยเข้ามาอยู่ในมือผม โอ้โหในฝันนั้นผมดีใจสุดๆ เลย แล้วก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา พอตอน
    สายๆ ประมาณ 9 โมงเช้าเพื่อนคนนั้นจึงได้โทรมาบอกผมว่าถ้ายังอยากได้พระอรหันต์จกบาตรของเขาก็ให้มาหาที่บ้านเขาใน
    วันนี้ (ตามที่ผมเล่าไปในตอนต้น) ดูซิครับท่านจะมาอยู่กับผมแท้ๆ แล้วท่านยังมาบอกล่วงหน้าด้วย
    พอได้พระมาใหม่ๆ ก็ต้องเอาไปตรวจกันหน่อย ผมมีเพื่อนรุ่นน้องชื่อคุณต๊ะ น้องคนนี้แกมีดีพอตัว คืออดีตชาติแกคงจะเป็นลูก
    ศิษย์ของพระฤๅษีท่านหนึ่ง เพราะแกมีญานของพระฤๅษีอยู่กับตัว คุณต๊ะจึงนั่งสมาธิแบบฤๅษีในแบบฉบับที่ไม่เหมือนใครเป็นการ
    นั่งสมาธิแบบสมาธิเคลื่อนไหว คือเอาสติไปจับอาการเคลื่อนไหวของมือ ขา ล าตัวด้วยท่าทางต่างๆ ดูๆ ไปก็คล้ายการร าไท้เก๊ก
    ของจีน แต่สมาธิแบบนี้ก็ท าให้แกเกิดมีตาทิพย์ได้ ผมก็เลยเอาพระอรหันต์จกบาตรไปให้แกตรวจดูหน่อยในฐานะที่ชอบพอกัน
    สถานที่คุณต๊ะท างานก็ตั้งอยู่ในเขตของวังหน้า อาณาเขตของวังหน้านั้นกว้างใหญ่กว่าที่พวกเราคิดมากนะครับแต่ผมขอปิดไว้ว่า
    เป็นที่ไหนเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบตามมา พอคุณต๊ะเอาพระอรหันต์จกบาตรมาไว้ในมือแกก็บอกว่าให้ผมเดินตามมา แล้วแกก็พา
    ผมเข้าไปในห้องที่กว้างขวางห้องหนึ่งเพื่อให้ได้อยู่กันเพียงล าพัง แล้วแกก็ก าพระลงนั่งสมาธิได้พักเดียว แกก็มีท่าทางเปลี่ยนไป
    เป็นคนละคน ลุกขึ้นยืนท าท่าขึงขัง เอาละซิผมก็ตกใจเหมือนกันไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมาที่อยู่ๆ การตรวจพุทธคุณ
    พระกลายเป็นการเข้าทรงซะอย่างนั้น

    ตอบลบ
  16. คุณต๊ะลุกขึ้นยืนแล้วก็ย่อตัวลงมาพนมมือเหมือนการไหว้ครูท าความเคารพด้วยความอ่อนน้อมมาก การพนมมือการร่ายร าออก
    ท่าทางไม่เหมือนกับที่เราเคยเห็น มือไม้อ่อนช้อยไปหมด ท่วงท่าน่าดูชมจริงๆ แล้วแกก็กระโดดพรวดพราดออกไปกลางห้อง ตั้ง
    ท่าวางตัวแบบนักมวยก ามือแน่นออกท่าทางเหมือนจะร ามวยให้ดู ยกแข้งยกขาเตะซ้ายเตะขวา ฟาดไปข้างหน้า ฟาดไปข้างหลัง
    ฟันศอกซ้ายสลับศอกขวา การยืนตั้งการ์ดมวยก็ไม่เหมือนสมัยนี้ เพราะไม่ใช่ยืนตรงก าหมัดเหมือนนักมวย แต่เป็นการย่อตัวกึ่ง
    ยืนกึ่งนั่งเพื่อพร้อมที่จะกระโจนเข้าหาคู่ต่อสู้ คือบางจังหวะแกก็จะโดดตัวลอยขึ้นสูงตีเข่าบ้าง ตีศอกบ้าง อย่างที่เขาเรียกว่าเข่า
    ลอยคือเข่ามันลอยไปในอากาศจริงๆ ผมขอบอกเลยว่าการได้ชมทหารโบราณแสดงท่าแม่ไม้มวยไทยครั้งนั้นมันช่างงดงามติดตาตรึงใจ มันเป็นศิลปะการต่อสู้ที่จริงจังว่องไวอันตรายในทุกท่วงท่า มันน่าภูมิใจในศิลปะแม่ไม้มวยไทยของเราที่สามารถเอา
    อวัยวะต่างๆ ในร่างกายมาเป็นอาวุธเข้าพิฆาตศัตรูได้อย่างแท้จริง
    เมื่อวิญญาณทหารโบราณร่ายร ามวยไทยให้ผมดูได้พักใหญ่ เขาก็นั่งคุกเค่าลงพนมมือขึ้นเหมือนการแสดงความเคารพกับผมที่นั่ง
    ดูอยู่ห่างกันประมาณ 3 เมตร แล้วเขาก็น้อมตัวลงคลานเข้ามาหาผม การคลานของเขาก็ไม่เหมือนที่เราเคยเห็น เพราะที่เราเคย
    เห็นเขาก็คลานโดยใช้มือแบยันกับพื้นไว้แล้วคุกเข่าค่อยๆ เคลื่อนตัวเหมือนการเดินแต่ใช้มือและเข่าเดิน แต่นี่เขาคลานโดยการ
    เอาข้อศอกและมือแนบไปที่พื้นก้มตัวลงต่ าแทบติดพื้น ไม่ใช่การคลานเข่าแต่เป็นการคลานศอกมากกว่า ท่วงท่าการคลานก็
    ว่องไว บิดตัวไปมาหัวไปทางหางไปทางยึกยักๆ ด้วยความคล่องแคล่วแปล๊บเดียวก็คลานมาถึงตัวผม พร้อมกับเอามือขวาที่ถือ
    พระยื่นส่งพระอรหันต์จกบาตรคืนมาให้ผมด้วยท่าท านองเหมือนกับการทูลเกล้า
    ผมก็รับพระไว้แบบงงๆ เพราะเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดว่าจะต้องมาเจอเหตุการณ์เช่นนี้ เรื่องมันยังไม่จบครับ ไม่ทันไรน้องต๊ะก็
    เปลี่ยนไปอีกเหมือนเป็นคนละคน ลุกขึ้นไปนั่งที่เก้าอี้ด้านหลังของผมแล้วก็หัวเราะเสียงดังมากอย่างคนอารมณ์ดี ฮ่าๆๆๆ สีหน้า

    ตอบลบ
  17. ท่าทางดีอกดีใจที่ได้เจอกับผม เอามือชี้ที่ตัวเองแล้วก็ชี้ไปที่รูปหล่อองค์หนึ่งที่ตั้งประดิษฐานไว้บนโต๊ะบูชาที่มุมหนึ่งของห้อง ซึ่ง
    ในห้องนั้นเป็นห้องที่มีการตกแต่งเป็นพิเศษพื้นห้องปูด้วยพรมสีแดง มุมห้องด้านหนึ่งมีการตั้งประดิษฐานรูปหล่อโลหะสูง
    ประมาณ 16 นิ้ว เป็นรูปคนโบราณผู้ชายวัยชรายืนไม่สวมเสื้อ นุ่งคล้ายผ้าโสร่งคาดเข็มขัด รูปร่างท้วม ผมสั้นเกรียน ผมมองไปที่
    รูปปั้นนั้นก็รู้ความหมายในทันทีแต่ผมไม่กล้าเขียนบอกไว้ในที่นี้ ท่านบอกว่าท่านคือคนเดียวกับรูปปั้นนั้น แล้วก็ยื่นมือทั้งสองเข้า
    มาโอบกอดผมจับหัวจับตัวผมด้วยความรักใคร่เอ็นดู.....
    ใครมีพระอรหันต์จกบาตรก็ลงรูปมาอวดกันหน่อยครับ
    พระอรหันต์จกบาตร เพิ่งนิมนต์มาจากวัดวันนี้เองครับ
    วันนี้ไปเดินดูในตู้พระที่ประชาสัมพันธ์ของวัดหลวง
    พ่อสด ดูเพลินๆ ไม่รู้ท าไมไปสะดุดตากับพระองค์
    นี้จัง เลยไปดูองค์อื่นแล้วก็ต้องกลับมาดูองค์นี้อีก
    เลยขอพระท่านเอาออกมาจากตู้ดูให้ชัดๆ พอได้
    สัมผัสท่านแล้วก็วางไม่ลง ขอนิมนต์ท่านกลับมา
    บ้านด้วยทันที
    ผมอยากให้ผู้ที่มีสัมผัสพิเศษ ได้มีโอกาสไปสัมผัส
    พลังอานุภาพของพระอรหันต์จกบาตรของวัด
    หลวงพ่อสดบ้าง พระแรงๆ ระดับนี้หายากนะครับ
    ...จับแล้ววางไม่ลงจริงๆโลกนี้จะมีซักกี่คนที่หลวงปู่เทพโลกอุดรท่านประทานอาหารมาให้
    โลกนี้จะมีซักกี่คนที่หลวงปู่เทพโลกอุดรท่านประทานอาหารมาให้ เล่าโดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 1 พ.ย.59
    เมื่อราวๆ 20 ปีที่ผ่านมา คืนหนึ่งผม (อู๋) มีนิมิตที่แปลกประหลาดและมหัศจรรย์มาก ในนิมิตนั้นผมไม่รู้ว่าไปยืนอยู่ในสถานที่แห่ง
    ใดแต่คงไม่ใช่ดินแดนของมนุษย์แน่ เพราะในที่แห่งนั้นมันเป็นที่โล่งเตียนไปจนสุดลูกหูลูกตา เป็นดินแดนที่ไม่สว่างแต่ก็ไม่มืด บน
    ท้องฟ้าเห็นเป็นกลุ่มเมฆลอยอยู่เป็นหย่อมๆ ทันใดนั้นก็มีเสียงพูดขึ้นมาว่า "เราคือหลวงปู่เทพโลกอุดร เราจะเอาอาหารมาให้เจ้า
    เลือกเอาว่าอยากจะกินอะไร"
    เสียงที่พูดออกมานั้นทรงอ านาจมาก เป็นเสียงที่ไม่รู้ว่าดังมาจากตรงไหนของท้องฟ้ากว้าง แต่เสียงนั้นท าให้ผมรู้สึกว่าทุกอย่างที่
    อยู่รอบตัวมันสั่นสะเทือนไปหมด นี่เองที่คนโบราณเขาบอกว่า "เสียงกัมปนาท" คือมันดังก้องไปทั่วแล้วเสียงนั้นก็ท าให้เกิดการ
    สั่นสะเทือน ไม่มีใครที่จะไม่รู้สึกสะดุ้งสะเทือนเมื่อได้ยินเสียงนี้
    ทันใดนั้นบนท้องฟ้าด้านหนึ่งก็ปรากฏว่ามีถาดกลมๆ ใส่อาหารลอยมาช้าๆ ถาดอาหารเหล่านี้มันลอยเรียงแถวกันมาอย่างกับ
    ขบวนรถไฟ เว้นระยะห่างเท่าๆ กันพอสวยงาม บนถาดกลมนั้นก็จะมีอาหารของแต่ละชาติแต่ละท้องถิ่น ทั้งอาหารไทย อาหาร
    จีน อาหารใต้ อาหารอีสาน ฯลฯ ตามจริงแล้วการที่เรายืนอยู่บนพื้นเมื่อมองขึ้นไปบนฟ้าก็ไม่น่าจะเห็นว่าเป็นอาหารอะไร น่าจะ
    เห็นแต่ก้นถาดกลมๆ แต่ในนิมิตนั้นมันกลับมองเห็นว่าในถาดนั้นมีอาหารอะไรบ้างได้อย่างชัดเจน
    ผมไปสะดุดตาเข้ากับอาหารถาดหนึ่ง ในถาดนั้นเป็นอาหารแบบของชาวเหนือคือมีน้ าจิ้มและผักต่างๆ ทั้งผักต้ม ผักสด น้ าพริก
    อ่อง น้ าพริกหนุ่ม ข้าวเหนียว ฯลฯ เป็นถาดอาหารแบบขันโตก เมื่อจิตเรานึกชอบอาหารนั้น ก็ปรากฏว่าถาดใบนั้นก็ลอยแยกตัว
    ออกมาจากแถว ค่อยๆ ลอยลงมาหาผม ผมก็ยื่นมือออกไปรับถาดอาหารนั้นเพื่อน ามาทาน แล้วผมก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาในราวๆ ตีห้า
    ของวันใหม่ ฝันนี้ผมจ าได้แม่นย าเพราะเป็นฝันในตอนรุ่งอรุณคือฝันเสร็จก็ตื่นขึ้นมาเลย และผมก็ยังคงจ าความฝันนี้ได้อย่าง
    ชัดเจนไม่เคยลืมเลยแม้เวลาจะผ่านมานานแล้วก็ตาม เป็นฝันที่ผมจะจดจ าไปจนวันตาย
    นับเป็นครั้งแรกที่หลวงปู่ท่านพูดออกมาเองว่า "เราคือหลวงปู่เทพโลกอุดร" ท าให้ผมไม่ต้องเดาอีกต่อไปว่าหลวงปู่องค์ไหนคือผู้ที่

    ตอบลบ
  18. เฝ้าดูแลรักษาผม ท่านเมตตาส่งทั้งอาหารคาวหวาน ข้าวเหนียวด าไพรด า พระอรหันต์จกบาตร และญานทัศนะมาให้ลูกศิษย์คน
    นี้เพื่อเป็นก าลังให้ผมได้สร้างบุญบารมี ในชีวิตของผมก็ได้พึ่งพิงพระเพียง 3 รูปเท่านั้น คือหลวงพ่อสดวัดปากน้ า (เกิดมาก็เจอ
    ท่านเลย) หลวงปู่เทพโลกอุดร (ท่านคุ้มครองผมมาตั้งแต่เป็นเด็ก) และหลวงป๋าวัดหลวงพ่อสดที่ใช้ญานตามหาผมจนมาได้เจอกัน
    ตั้งแต่ผมอายุได้เพียง 20 กว่าปีเท่านั้น
    ธรรมสภา ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาควาย
    ธรรมสภา ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาควาย โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋) 29 พ.ย. 2559
    ผม (อู๋) ขอบอกไว้ก่อนว่าเดิมเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่คิดว่าจะเล่าให้ใครฟัง แต่มีน้องที่รักและเพื่อนบางคนมาขอให้ผมเล่าเอาไว้เพื่อ
    เป็นก าลังใจให้แก่ผู้ที่ก าลังสร้างบารมีเติมบุญกันอยู่ในขณะนี้ ว่าครูบาอาจารย์ท่านไม่ได้ทอดทิ้งพวกเราไปไหน ท่านยังอยู่ดูแล
    รักษาพวกเราด้วยกายพิเศษของท่าน
    ธรรมสภานี้เป็นเรื่องลึกลับที่ไม่เคยมีใครพูดถึงมาก่อน อาจเพราะเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ซ่อนอยู่แบบภพซ้อนภพ คือต่อให้เรา
    เดินทางไปถึงที่แห่งนั้นเราก็มองไม่เห็นเข้าไปไม่ได้นั่นเอง ถ้าพระท่านไม่อนุญาตเราก็ไม่มีทางเข้าไปได้ เป็นเรื่องของบุญวาสนา
    ของแต่ละคน ใครไม่ได้ท าบุญทางด้านฤทธิ์อภิญญามาจะมีโอกาสเข้าไปได้อย่างไร แม้แต่ชื่อสถานที่ก็ยังถูกปิดไว้ไม่ให้รู้เลย
    ผมรู้จักกับหลวงพี่ท่านหนึ่งที่อยู่ที่วัดหลวงพ่อสด อ.ด าเนินสะดวก จ.ราชบุรี ท่านเป็นพระที่ได้ธรรมกายมานานพอสมควรแล้ว
    โดยท่านมาได้ธรรมกายกับหลวงป๋าท่านเลยเคารพและช่วยงานหลวงป๋ามาโดยตลอด แต่ด้วยนิสัยที่ไม่ชอบคนหมู่มากท่านเลย
    ช่วยหลวงป๋าอย่างเงียบๆ แบบปิดทองหลังพระ ผมรักและเคารพท่านเหมือนกับพี่ชายของผมคนหนึ่ง นิสัยของท่านออกไป
    ในทางกล้าได้กล้าเสีย พูดจริงท าจริง ไม่เกรงกลัวภัยอันตรายใดๆ เพราะท่านก็มีดีพอตัว
    วันหนึ่งท่านรู้สึกอยากออกธุดงค์เพื่อท่องเที่ยวไปในโลกกว้างและแสวงหาความรู้ใหม่ๆ ท่านไปของท่านองค์เดียวเลย ธุดงค์จากราชบุรีไปภาคเหนือทะลุไปพม่าจนได้พบกับครูบาบุญชุ่มที่วัดพระธาตุดอนเรืองพูดคุยกันถูกคอจึงเกิดความสนิทสนมกัน ท่านจึง
    ได้ทราบว่าในประเทศลาวนั้นมีดินแดนพิเศษศักดิ์สิทธิ์ เป็นแหล่งตักศิลาของผู้ที่ต้องการเรียนวิชาต่างๆ ดินแดนแห่งนั้นตั้งอยู่ใน
    ป่าลึกของภูเขาควาย (ภูควาย)
    เมื่อท่านธุดงค์กลับมาที่เชียงรายในฝั่งไทยแล้วก็ยังไม่อยากกลับวัด ความคิดเรื่องภูเขาควายยังคงวิ่งแล่นอยู่ในสมองตลอดเวลา
    ท่านจึงตัดสินใจเดินทางวกเข้าไปในประเทศลาว ผ่านเวียงจันทน์ขึ้นไปทางเหนือแล้ววกไปทางทิศตะวันออกที่จะไปทางประเทศ
    เวียดนาม โดยท่านได้รับความช่วยเหลือจากทหารลาวขับรถพาท่านไปจนถึงเขตป่าทึบที่แม้แต่รถยนต์ไม่สามารถเข้าไปได้อีก
    เพราะเป็นป่าทึบภูเขาสูงชัน ดินแดนแถบนี้แหละที่เป็นทางเข้าไปสู่ภูเขาควายอันเรื่องชื่อ แม้แต่คนลาวเองก็ยังไม่กล้าเข้าไป
    เพราะเป็นดินแดนอาถรรพ์ที่มีอันตรายรอบด้านและสัตว์ป่าชุกชุม
    หลวงพี่ท่านไม่กลัว ท่านออกเดินธุดงค์มุ่งหน้าเข้าป่าทึบข้ามเขาลูกแล้วลูกเล่าไปทางประเทศเวียดนาม ท่านบอกว่าเขตภูเขา
    ควายนี้มันกว้างใหญ่มากมีภูเขาและหน้าผาสูงชันหลายลูก ท่านเดินป่าอยู่ราว 3 วันยังไม่พบใครเลย จนท่านเองก็เริ่มอ่อนแรงก็
    ได้มาพบกับหนองน้ าแห่งหนึ่ง มองเห็นน้ าในบ่อใสแจ๋ว เมื่อมองส ารวจดูก็ตกตะลึงเพราะเห็นเป็นก้อนทองค ามากมายกองอยู่ที่
    ก้นบ่อนั้น ดูแล้วบ่อน้ านี้ก็ไม่ลึกมาก ท่านเกิดความคิดขึ้นมาว่าเราธุดงค์เดินป่ามาก็นานมากแล้วยังไม่ได้อะไรเลย ถ้าหากเราเอา
    ทองค านี้สักก้อนสองก้อนกลับไปที่วัดเพื่อขายเอาเงินไปช่วยหลวงป๋าสร้างวัดก็น่าจะดี ท่านเลยตัดสินใจกระโดดลงบ่อเพื่อด าน้ า
    ไปเอาทองค า ขณะที่ก าลังจะเอามือคว้าก้อนทองค าก็เกิดรู้สึกว่าถูกไฟฟ้าช็อตเข้าอย่างแรงจนหมดสติไป
    ท่านนอนสลบไปไม่รู้ว่านานเท่าใดก็ตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย มองดูที่รอบๆ ตัวก็ไม่เห็นว่ามีบ่อน้ าและก้อนทองค าแต่อย่างใด แต่เป็น
    ที่ดินธรรมดาแต่มันไม่ธรรมดาก็เพราะมีกองกระดูกมากมายพร้อมกับบาตรพระ อ้าวนี่ท่านโดนอาถรรพ์ของป่าเข้าไปอย่างจังเลย

    ตอบลบ
  19. ไม่ตายก็ดีแล้ว พระธุดงค์หลายท่านต้องมาตายที่ตรงนี้ก็เพราะความโลภอยากได้ก้อนทองค านี่เอง ดีแต่ท่านมีใจคิดว่าจะน าก้อน
    ทองนี้เพื่อเอาไปท าบุญสร้างวัดไม่ได้คิดว่าจะน าไปใช้ส่วนตัว ถ้าท่านคิดโลภจะเอาไปใช้ส่วนตัวท่านก็คงไม่รอดต้องตายเป็น
    กระดูกกองทบเพิ่มเข้าไปอีกเป็นแน่
    ขณะที่ก าลังงัวเงียลุกขึ้น พลันท่านก็ได้ยินเสียงถามขึ้นมาว่า “เป็นอย่างไรบ้างล่ะ หิวข้าวไหม” หลวงพี่หันไปมองหาที่มาของ
    เสียงนั้น ท่านก็เห็นว่าบนโขดหินมีผู้ชายชรารูปร่างผอมๆ ผมและหนวดเครายาว ห่มผ้าสีขาวมอๆ ขาดกระรุ่งกระริ่งนั่งอยู่ หลวง
    พี่จึงตอบกลับไปว่า “หิวมากเลยครับเพราะไม่ได้ฉันข้าวมาหลายวันแล้ว ท่านเป็นพระหรือเป็นคนครับ”
    ชายชรา “พระหรือคนเขาดูกันที่สีผ้าหรือดูกันที่ใจล่ะ”
    หลวงพี่ “ดูกันที่ใจครับ”
    ชายชรา “แล้วมาถามท าไม เอ้า...ถ้าหิวก็ตามมาทางนี้”
    ว่าแล้วพระชราท่านก็พาเดินลัดเลาะไปตามทางแคบๆ ของป่าทึบ เดินไปนานพอสมควรจนถึงปากทางเข้าถ้ าแห่งหนึ่ง ท่านก็บอก
    ให้หลวงพี่นั่งรออยู่ก่อนท่านจะไปน าอาหารมาให้ แล้วท่านก็เข้าไปในถ้ าสักครู่หนึ่งก็ออกมาพร้อมกับยื่นชามใบเล็กใส่ข้าวต้มปลา
    มาให้ หลวงพี่ท่านหิวจนตาลายรีบฉันข้าวต้มปลากลิ่นหอมฉุยไปจนอิ่ม แต่ก็แปลกที่ฉันไปตั้งมากแล้วข้าวต้มปลาก็ยังไม่หมดชาม
    สักที พระชราจึงถามว่าอิ่มแล้วหรือ ถ้าอิ่มแล้วต่อไปจะท าอะไรเพราะท่านอุตส่าห์ธุดงค์มาจนถึงที่แห่งนี้แล้วอยากเรียนรู้
    อะไรบ้างไหม หลวงพี่นึกอยู่แป๊บหนึ่งก็ตอบไปว่า “กระผมอยากเรียนวิชาอักษรขอม จะได้น าเอาไปใช้ประโยชน์แก่พระศาสนา
    ครับ” พระชราท่านก็บอกว่าถ้าอย่างนั้นก็ให้ตามท่านเข้าไปในถ้ า หลวงพี่ลุกขึ้นเพื่อจะเดินตามท่านไป แต่สายตาก็เหลือบไปเห็น
    ชามข้าวที่ท่านเพิ่งฉันอิ่มไป ในชามข้าวนั้นเห็นมีแต่น้ ากับใบไม้เท่านั้น
    ทางเข้าถ้ านี้ค่อนข้างเล็ก แต่เมื่อเข้าไปในถ้ าก็เห็นว่าข้างในนั้นมีห้องเล็กห้องน้อยอยู่หลายห้อง เป็นถ้ าที่สลับซับซ้อน จนเมื่อท่าน
    เข้าไปถึงห้องหนึ่งก็ต้องตกตะลึงเพราะเป็นห้องโถงใหญ่ที่สามารถจุคนได้เป็นร้อย ตรงกลางห้องมีก้อนหินตั้งอยู่มองดูเหมือนแท่น
    ตั้งใบเสมา รอบๆ ผนังห้องนี้ก็เป็นหลืบมีแท่นหินที่คนสามารถขึ้นไปนั่งได้ มองดูแล้วเป็นเหมือนห้องประชุมใหญ่ พระชราท่าน
    นั้นจึงบอกว่าที่แห่งนี้เรียกว่า “ธรรมสภา” ใช้เป็นที่ประชุมพระผู้ใหญ่ที่ท าหน้าที่ดูแลรักษาพระศาสนา จะมีการประชุมกันทุกวัน
    พระ แล้วท่านก็พาหลวงพี่เข้าไปในห้องๆ หนึ่งที่เป็นที่เก็บใบลานต าราต่างๆ กองซ้อนกันอยู่ในห้องนั้น แล้วพระชราท่านก็หยิบ
    ผูกใบลานขึ้นมาปึกหนึ่งแล้วส่งให้หลวงพี่ “เอ้านี่เป็นต าราภาษาขอม เอาไปเรียนเอาเอง” ว่าแล้วท่านก็พาหลวงพี่เดินออกมาเพื่อ
    เข้าไปในอีกห้องหนึ่งที่ใช้เป็นห้องเรียน “เธอเรียนวิชาภาษาขอมในห้องนี้นะ” ว่าแล้วท่านก็เดินออกไปทิ้งให้หลวงพี่อยู่ในห้องเพียงล าพัง
    มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก เพราะเมื่อท่านเริ่มเปิดดูใบลานผูกนั้นก็ปรากฏว่าตัวหนังสือในใบลานได้วิ่งไปปรากฏที่ผนังถ้ าเห็น
    ตัวหนังสือเหล่านั้นสว่างเหมือนแสงนีออน เมื่อตัวหนังสือใดปรากฏก็จะมีเสียงอ่านให้ทราบว่านี้คือตัวอักษรอะไรอ่านว่าอย่างไร
    เหมือนกับการเรียนในสมัยใหม่ที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ฉายออกทางหน้าจอโปรเจคเตอร์ตามห้องประชุมสมัยใหม่เลย ฉาย
    ตัวหนังสือไปพร้อมกับมีเสียงอ่านสอนไปด้วย มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์เหลือเชื่อจริงๆ
    การเรียนการสอนจึงเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว หลวงพี่บอกว่าเรียนภาษาขอมใช้เวลาเพียงไม่กี่วันท่านก็เรียนจบแล้ว สมองมันจ าได้
    หมดเลย ท่านก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าท าไมท่านจึงจ าได้ มันไม่เหมือนกับการเรียนการสอนที่เคยเรียนมาที่กว่าจะจดจ าอะไรได้ก็
    ต้องใช้การท่องจ า แต่ในที่แห่งนี้เมื่อเรียนไปก็จะจดจ าได้ในทันที อาจเป็นเพราะสถานที่นี้ไม่เหมือนกับโลกภายนอก เพราะที่แห่ง
    นี้เป็นที่พิเศษของเหล่าพระอภิญญาท่าน เป็นที่ๆ ฝ่ายมารไม่สามารถส่งอิทธิฤทธิ์ของฝ่ายเขาเข้ามาบดบังห่อหุ้มจิตใจเราได้ เรา
    จึงสมารถเรียนรู้และเข้าใจวิชาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ในเวลาที่เหลือหลวงพี่ก็ยังขอเรียนวิชาอื่นๆ เพิ่มเติมอีก แต่ท่านไม่ยอมบอก
    ว่าท่านได้เรียนวิชาอะไรมาบ้าง

    ตอบลบ
  20. ในระหว่างนั้นเมื่อถึงวันพระ ในห้องธรรมสภาก็จะมีพระที่ท าหน้าที่ดูแลรักษาพระศาสนามาร่วมประชุมกัน พระที่มาร่วมประชุม
    มีมากมายทั้งที่ท่านรู้จัก (เคยอ่าน-เคยเห็น) ก็มี พระที่ท่านไม่รู้จักก็มาก พระที่ยังมีชีวิตและที่ท่านละสังขารไปแล้วก็มา ไม่รู้ว่า
    ท่านมาได้อย่างไร หรือท่านสามารถอธิษฐานปรุงกายเนื้อขึ้นมาใหม่ได้ (กายพิเศษ) เนื้อตัวท่านก็เหมือนกับคนธรรมดา จับดูก็จับ
    ได้มีเนื้อมีหนังเช่นเดียวกับคนธรรมดานี่เอง นี่แหละที่เขาเรียกกันว่าพระอภิญญา คือท่านสามารถท าในสิ่งที่เหนือความ
    คาดหมายของเรา ท าในสิ่งที่เป็นเรื่องอจินไตยคาดเดาไม่ได้ หลวงพี่ท่านได้เห็นหลวงพ่อสดและหลวงปู่เทพโลกอุดร ทั้ง 2 ท่านนี้
    ประชุมท างานด้วยกันอย่างใกล้ชิด เราไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าหลวงพ่อสดและหลวงปู่เทพโลกอุดรท่านรู้จักกัน เพราะไม่เคยมี
    ใครบอกไม่เคยมีคนพูด แต่ส าหรับตัวผม (อู๋) นั้นไม่แปลกใจเลยเพราะท่านทั้งสองคือครูบาอาจารย์ที่ผมเคารพรักอย่างสูง มีแต่
    ท่านทั้ง 2 องค์นี้แหละที่มาคอยช่วยเหลือเมื่อผมมีปัญหา ผมจึงเชื่อมานานแล้วว่าท่านทั้ง 2 มีความสนิทสนมคุ้นเคยกันเป็นอย่าง
    ดี
    ไม่ใช่มีแต่เพียงหลวงพ่อสดและปลวงปู่เทพโลกอุดรเท่านั้น หลวงพี่ท่านเห็นหลวงปู่ทวด (เหยียบน้ าทะเลจืด) สมเด็จพระพุฒา
    จารย์ (โต) พรหมรังสี หลวงปู่ทองทิพย์ (ตอนนั้นยังไม่ละสังขาร) หลวงปู่สรวง (ตอนนั้นยังไม่ละสังขาร) หลวงปู่สุภา (ตอนนั้นยัง
    ไม่ละสังขาร) ฯลฯ นอกจากพระแล้วก็ยังมีพระฤๅษีอีกมาก ที่จริงแล้วพวกเราชอบแยกพระและพระฤๅษีออกจากกัน แต่ตามจริง
    แล้วพระในป่านั้นเขาไม่ได้แยกกัน เขานับถือกันที่คุณธรรม ดังนั้นพระกับพระฤๅษีจึงไม่ได้แตกต่างกันอย่างที่เราคิด ในการ
    ประชุมนั้นหลวงพี่ท่านไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วย แต่ก็เห็นว่ามีพระมาร่วมประชุมมากมาย บางท่านก็นั่งอยู่ที่พื้นห้อง บางท่านก็นั่ง
    อยู่ตามหลืบผนังถ้ า ลดหลั่นกันไปตามบารมีของแต่ละท่านเพราะท่านไม่ได้นับอาวุโสกันแล้ว แต่นับถือแบ่งล าดับกันตามบารมีที่
    ได้สร้างกันมา
    เมื่อหลวงพี่ว่างจากการเรียนท่านก็ได้มีโอกาสเดินส ารวจถ้ า ท่านเล่าว่าเมื่อเดินไปถึงมุมหนึ่งที่หลวงพ่อสดท่านนั่งอยู่ประจ านั้น
    ปรากฏว่าที่ผนังถ้ านั้นมีเหมือนยางด าเหนียวๆ แปะอยู่ เมื่อก าหนดจิตดูก็ทราบในทันทีว่าเป็นเหล็กไหลชั้นหนึ่ง เนื้อของ
    เหล็กไหลนี้มองดูเผินๆ จะเห็นเป็นสีด าแต่แท้จริงแล้วเป็นสีเขียวเข้มปีกแมลงทับ เหล็กไหลองค์นี้เป็นเหล็กไหลที่ยังเป็นอยู่ ยังไม่
    ตาย (ถ้าตายแล้วเขาจะแข็งตัว) หลวงพี่ก็เคยคิดไว้ในใจว่าเมื่อถึงวันกลับออกไปจะมาแงะเอาเหล็กไหลองค์นี้กลับไปด้วย
    ธรรมสภาแห่งนี้เราจะอยู่นานไม่ได้ เพราะไม่สะดวกที่จะหาอาหารและขับถ่ายในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แบบนี้ ผู้ที่จะอยู่ได้คือผู้ที่ส าเร็จ
    แล้ว ไม่ต้องกิน ไม่ต้องถ่ายของเสีย ไม่ต้องนอน หมดกิเลสแล้ว นึกจะไปนึกจะมาก็ท าได้เพียงแค่ลัดนิ้วมือ ใครท าได้ก็ไปอยู่ได้
    พอถึงวันกลับหลวงพี่จึงได้เดินไปที่เหล็กไหลองค์นั้น พอท่านเอื้มมือเข้าไปเพื่อจะเด็ดเหล็กไหลก็ได้ยินเสียงดังเตือนเข้ามา “อย่า
    เอามือแตะเหล็กไหลนะ อันตรายมาก เอามือออกมาเดี๋ยวนี้” เสียงที่เตือนเข้ามายืนอยู่ที่ด้านหลังท่านก็คือหลวงพ่อสดวัดปากน้ า
    นั่นเอง ไม่รู้ว่าท่านมายืนตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วหลวงพ่อสดท่านก็ถามว่า “อยากได้จริงๆ หรือ” พูดจบท่านก็เอามือไปปลิดเหล็กไหล
    องค์นั้นออกมาได้จ านวนหนึ่ง แล้วก็ถามว่ามีอะไรเตรียมมาใส่หรือเปล่า หลวงพี่จึงน าตลับออกมาจากย่ามส่งไปให้หลวงพ่อสด
    เพื่อใส่เหล็กไหลองค์นั้นลงไป แล้วหลวงพ่อสดก็สั่งว่า “เอาไปให้ครูของเธอด้วยนะ” ท่านหมายถึงว่าให้เอาไปแบ่งให้หลวงป๋าได้
    ใช้ด้วยนั่นเอง (เหล็กไหลองค์นี้ต่อมาจึงทราบว่าท่านชื่อหลวงปู่สิงห์พระฤๅษีอภิญญาแห่งธรรมสภา ตามที่ท่านมาบอกผมในนิมิต)เรื่องนี้ผมทราบมานานนับ 10 ปีแล้วแต่เพิ่งน ามาเล่าให้ฟังกัน เพื่อจะได้เป็นก าลังใจให้แก่เพื่อนๆ ที่ได้อ่านให้ได้พากันสร้างบุญ
    บารมีกันยิ่งๆ ขึ้นไป อย่าท้อแท้กับการสร้างบุญบารมี เพราะในโลกใบนี้ไม่มีใครสร้างบุญบารมีโดยที่ไม่มีอุปสรรค เราทุกคนเกิด
    มาไม่นานก็ต้องตาย ก่อนตายขอให้รีบสร้างบุญบารมีกันนะครับ ผมยังไม่ได้ขออนุญาตหลวงพี่ เพราะถ้าผมขออนุญาตท่านก็คง
    ไม่อนุญตอยู่แล้วครับ

    ตอบลบ
  21. อ่านกันเต็มๆตามลิงค์
    https://drive.google.com/drive/folders/0B5reTWVk2cAZNldaOUNhOUJWMUE

    https://drive.google.com/drive/folders/0B5reTWVk2cAZYlA3UVl5NFhPcTg

    ตอบลบ
  22. สายหลวงปู่โลกเทพอุดร มีเนื้อว่านไหมครับ

    ตอบลบ